Saturday, March 22, 2025

ชมอัญมณีสุดล้ำค่ากว่า 300 ชิ้นในงาน Van Cleef & Arpels: Time, Nature, Love ณ กรุงโซล

นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1906 Van Cleef & Arpels ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะผู้รังสรรค์เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง พร้อมด้วยคอลเล็กชั่นผลงานอันเลื่องชื่อที่ ณ วันนี้ ยังคงได้รับการสืบทอดมรดกและคุณค่าของประเพณีการสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีเหล่านี้ไว้ เช่นเดียวกับการพัฒนาและต่อยอดผลงานสู่พรมแดนใหม่ของความล้ำเลิศทั้งทางด้านหัตถศิลป์ ความล้ำค่าและสุนทรียะความสวยงาม

หลอมรวมเรื่องราวแห่งเวลา ธรรมชาติ และความรัก ผ่านคอลเล็กชั่นประวัติศาสตร์และมรดกอันล้ำค่าแห่งเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง ที่เหล่าผลงานเครื่องประดับ นาฬิกา และศิลปะวัตถุกว่า 300 ชิ้น ตลอดจนงานต้นแบบกว่า 90 ชิ้นจากแผนกจัดเก็บเอกสารและหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมซง และยังมีคอลเล็กชั่นส่วนตัวที่หยิบยืมจากลูกค้าผู้หลงใหลในเครื่องประดับอัญมณีของเมซงทั้งหมดนี้ได้ถูกคัดสรรและรวบรวมไว้ภายในนิทรรศการ Van Cleef & Arpels: Time, Nature, Love ซึ่งจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ D Museum ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 18 พฤศจิกายน 2023 จนถึงวันที่ 14 เมษายน 2024 ซึ่งหากใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนกรุงโซลแล้ว ก็ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งที่จะแวะไปชมความงดงามวิจิตรของหลากหลายผลงานชิ้นประวัติศาสตร์เหล่านี้ด้วยตาคุณเอง

ผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันโดย Alba Cappellieri นักวิชาการชาวอิตาเลียน อีกทั้งยังเป็นนักเขียน และผู้อำนวยการฝ่ายแผนกเครื่องประดับแฟชั่นและอัญมณีของวิทยาลัย Politecnico di Milano ภัณฑารักษ์สำหรับนิทรรศการ Van Cleef & Arpels: Time, Nature, Love ร่วมกับทีมมรดกและนิทรรศการของเมซง ที่บรรจงคัดเลือกผลงานทั้งหมดซึ่งนำมาจัดแสดงภายใต้ธีม ‘Time, Nature, Love’ โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ส่วน จาก 3 แนวคิดเหล่านี้ที่ล้วนเชื่อมโยงถึงกัน ทั้งยังถ่ายทอดผ่านผลงานสร้างสรรค์ของเมซงในหลากยุคหลายสมัย ด้วยมุมมองและการตีความอันหลากหลาย

Time

เพราะศิลปะแห่งเครื่องประดับอัญมณีมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กับช่วงเวลาในแต่ละยุคสมัยเสมอ และผลงานเหล่านี้ยังนับเป็นจุดบรรจบระหว่างเวลา กระแสนิยม ตลอดจนวัฒนธรรมที่แสดงออกผ่านวัตถุซึ่งจับต้องได้ ขณะเดียวกันก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นให้ดำรงอยู่อย่างเหนือกาลเวลา เหมือนกับผลงานของเมซงที่ได้นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนของแต่ละช่วงเวลาตามยุคสมัย เริ่มต้นจาก Paris ด้วยผลงานยุคแรกเริ่มของเมซงที่ผูกพันกับมหานครปารีส ตามมาด้วย Elsewhere หรืออารยะศิลป์ต่างถิ่นที่เดินทางมาบรรจบกับต้นกำเนิดของเมซงโดยรังสรรค์ผ่านผลงานของเหล่าเครื่องประดับอัญมณีล้ำค่า 

ห้วงเวลายังบ่มเพาะซึ่งอิทธิพลสำคัญต่อการรังสรรค์ชิ้นงาน ที่ในส่วนนี้ได้ถ่ายทอดถึงผลงานชิ้นประวัติศาสตร์ต่างๆ ผ่านแนวคิดแห่งค่านิยม 5 ข้อที่ปรากฏในงานเขียนของ Calvino อดีตนักเขียนและนักข่าวหนังสือพิมพ์ชื่อดัง ทั้ง Lightness สื่อถึงความเบา, Quickness หมายถึงความเร็ว, Visibility บ่งบอกถึงความชัดเจน, Exactitude ตัวแทนของความแม่นยำ และ Multiplicity ที่หมายถึงความหลากหลาย จากนั้นจึงเข้าสู่ห้องจัดแสดงถัดไปที่สะท้อนถึงจุดบรรจบทางแนวคิดและแรงบันดาลใจด้วยห้องที่มีชื่อว่า Intersections โดยจัดแสดงผลงานที่มีความเชื่อมโยงกับศิลปะแขนงอื่นๆ เช่น ศิลปะและแฟชั่น นาฎกรรมและสถาปัตยกรรม อาทิ ชิ้นงานเด่นๆ ภายในส่วนนี้อย่าง สร้อยคอ Collaret ปี 1939 ที่เคยอยู่ในคอลเล็กชั่นเครื่องประดับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์ และเครื่องประดับบอกเวลา Cadenas จากปี 1939 กับตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ประดับด้วยทับทิม

Nature

เดินทางต่อสู่อีกหนึ่งมิติของนิทรรศการที่เป็นการยกย่องธรรมชาติ ภายในพื้นที่ของ Nature ที่ห้องจัดแสดงเหล่านี้ประกอบด้วยผลงานประวัติศาสตร์ซึ่งสะท้อนถึงแรงบันดาลใจและความสวยงามแห่งธรรมชาติ โดยมีทั้งกลุ่มผลงาน Fauna ที่ได้ต้นแบบการสร้างสรรค์มาจากเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยรูปร่าง อากัปกิริยา และลวดลายเฉพาะตัว จากนั้นยังต่อด้วย Botany และ Flora ที่นับเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจหลักของเมซง นำมาสู่การรังสรรค์ผลงานที่มีความอ่อนช้อย เต็มไปด้วยสีสัน และสวยงามสมจริงของบรรดาชิ้นงานดอกไม้และมวลพฤกษาซึ่งรายล้อมพื้นที่นี้ ราวกับกำลังเดินชมสวนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ความบริสุทธิ์และสดใส

ไฮไลต์ของผลงานภายในพื้นที่ Nature นี้ ก็เช่น เข็มกลัดรูปนกปักษาสวรรค์ Bird of Paradise ในปี 1942 ด้วยตัวเรือนเยลโลว์โกลด์และแพลทินัมประดับเพชร ส่วนบนปีกและหางประดับด้วยทับทิมและไพลิน รวมถึงบรรดาเข็มกลัดผีเสื้อ และเข็มกลัดดอกไม้รังสรรค์จากทองและแพลทินัม ทั้งยังประดับด้วยอัญมณีหลากสีสันที่สะท้อนถึงเฉดสี กับความมีชีวิตชีวาของธรรมชาติ

Love

ความรักคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง นิทรรศการครั้งนี้จึงเลือกปิดท้ายด้วยเรื่องราวแห่งความรักในพื้นที่จัดแสดง Love โดยคัดเลือกผลงานทางประวัติศาสตร์และผลงานชิ้นสำคัญๆ เกือบ 30 ชิ้น พร้อมทั้งภาพร่างแบบและเอกสารบันทึกต่างๆ อันเป็นตัวแทนของแรงบันดาลใจและสัญลักษณ์แห่งความรัก ที่สะกดผู้ชมไว้ด้วยเรื่องราวเบื้องหลังแต่ละชิ้นงานสร้างสรรค์ โดยเผยผ่านทั้งสัญลักษณ์ รูปแบบ ของขวัญ และมุมมองแห่งความรักในหลากหลายมิติ หลายผลงานที่นำมาจัดแสดงยังเป็นตัวแทนของตำนานความรักสุดโรแมนติกแห่งศตวรรษที่ 20 อย่าง เข็มกลัด Romeo and Juliet ราวปี 1951 ที่ตัวเรือนรังสรรค์จากเยลโลว์โกลด์ ประดับด้วยมรกต ทับทิม ไพลิน และไข่มุกเลี้ยง และเข็มกลัดนกคู่รัก Lovebirds จากปี 1945 ในตัวเรือนแพลทินัมและเยลโลว์โกลด์ ประดับเพชรระย้าทรงหยดน้ำและดวงตาฝังทับทิม ซึ่งเมซงได้เริ่มสร้างสรรค์เหล่าเครื่องประดับนกคู่รัก รวมถึงเริ่มวางจำหน่ายผลงานอันเป็นสัญลักษณ์ของความรักนิรันดร์นี้นับจากช่วงระหว่างยุค 1940s เป็นต้นมา

เข็มกลัด Lovebirds ตัวเรือนแพลทินัมและเยลโลว์โกลด์ ประดับเพชรและดวงตาทับทิม ปี 1945

ท่ามกลางผลงานหายากและชิ้นงานประวัติศาสตร์ที่ได้รับการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันมาจัดแสดงนี้ นิทรรศการ Van Cleef & Arpels: Time, Nature, Love ยังได้ร่วมมือกับ Johanna Grawunder ศิลปินและนักออกแบบสากลในการสร้างสรรค์ภาพมิติของนิทรรศการให้ยิ่งน่าประทับใจ โดยศิลปินผู้นี้ได้เลือกใช้แสงสีจากหลอดไฟนีออนมาสร้างสรรค์บรรยากาศลึกลับและวิจิตรสวยงามราวกับบทกวีไว้บนพื้นที่จัดแสดงผลงานต่างๆ รวมถึงประติมากรรมโปร่งใสที่จัดแสดงภายในห้อง Love และพร้อมกันนี้ ยังได้ Michal Batory นักออกแบบกราฟิกมาร่วมประดิษฐ์ตัวอักษรเฉพาะ ตลอดจนวีดิทัศน์พิเศษสำหรับนิทรรศการครั้งนี้ด้วย โดยมีหัวใจหลักของการสื่อสารที่ทั้งคู่ต้องการยกย่องสไตล์อันอยู่เหนือกระแสนิยมแห่งยุคสมัยของเมซงให้ปรากฎอย่างชัดเจน และเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ค้นพบ ทำความรู้จัก และเข้าใจต่อมุมมองแห่งสุนทรียะศาสตร์ในผลงานเหล่านี้ ที่ต่างบ่มเพาะมาจากแรงบันดาลใจ มรดกแห่งความเชี่ยวชาญทางเทคนิคศิลป์ และความผูกพันเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเสมอ ไม่ว่าจะด้วยวัฒนธรรม ศิลปะและหัตถศิลป์ เช่นกันกับสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเวลา ธรรมชาติ และความรัก อย่างสอดคล้องกลมกลืนที่ถ่ายทอดไว้โดย Van Cleef & Arpels

‘Time, Nature, Love’ at Seoul 

Alexandrine Maviel Sonet ในฐานะ Patrimony and Exhibitions Director ของ Van Cleef & Arpels ได้กล่าวถึงความน่าสนใจและเสน่ห์ของนิทรรศการครั้งนี้ว่า “เกาหลีใต้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของผู้มาเยือน และนับเป็นสถานที่จัดงานอันสมบูรณ์แบบ มีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์ซึ่งแตกต่างไปจากที่อื่นๆ สำหรับแนวคิด ‘Time, Nature, Love’ นี้ เราได้ดึงแนวคิดมาจากผลงานเขียนของ Calvino ที่กล่าวว่ามี 3 สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิต นั่นคือ เวลา ธรรมชาติ และความรัก และนั่นนับเป็น 3 สิ่งสำคัญที่ค้นพบได้เช่นกันในคอลเล็กชั่นศิลปะและอัญมณีของเมซง เช่น ผลงานที่อยู่เหนือกาลเวลา หรือ Timeless ส่วนธรรมชาตินั้นเป็นเสมือนแรงบันดาลใจที่ไม่มีสิ้นสุดให้กับการสร้างสรรค์ของเราที่ได้ต้นกำเนิดของแรงบันดาลใจจากสัตว์ มวลดอกไม้และพืชพรรณมานับตั้งแต่เริ่มต้น และสุดท้ายคือความรัก ที่แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังทุกๆ ผลงานของเมซง เป็นดั่งของขวัญและมักมีเรื่องราวเชื่อมโยงกับความรักซ่อนไว้อยู่เสมอ”

Latest Posts

Don't Miss