SPOILER ALERT: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน
เมื่อเด็กน้อยเจอเอเลียน ก็จะผูกมิตรด้วยจนกว่าหน่วยสืบราชการลับจะมาไล่จับตัวไป (E.T. ขอบินกลับดาวก่อนนะ)
เมื่อเอเลียนจากดาวคริปตันมาเยือนโลก เขาเติบโตไปเป็นชายหนุ่มรูปงาม กล้ามเป็นมัด ขจัดเหล่าร้ายที่จ้องทำลายโลกด้วยพลังวิเศษ (Superman! ช่วยด้วย)
เมื่อเอเลียนเจอกับแม่เลี้ยงเดี่ยวในเมืองเล็กๆ ตีนภูเขาไฟฟูจิ เธอขอให้เขาใช้พลังวิเศษช่วยเหลือมนุษยชาติให้สงบสุข เช่น โดดขึ้นไปหยิบลูกวอลเลย์ที่ติดบนขื่อเพดานให้หน่อย ติดฟิล์มมือถือให้เรียบเนียนไร้ฟองอากาศให้ที…
นี่คือการเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาวที่น่าตื่นเต้นชวนติดตามที่สุดในบรรดาหนัง/ซีรีส์เอเลียนทั้งหมดที่เคยได้ดูมาใน ‘The Hot Spot’

Aliens Among Us
คิโยมิเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำงานเป็นพนักงานโรงแรมในยามานาชิ จังหวัดที่อยู่ตีนภูเขาไฟฟูจิ ท่ามกลางกิจวัตรซ้ำเดิมของเธอ อันได้แก่ ทำเบนโตะให้ลูก เติมกาแฟให้แขก และเม้ามอยหอยสังข์กับแก๊งเพื่อนสาว คิโยมิได้เผชิญหน้ากับเอเลียนที่ทำให้ชีวิตประจำวันของเธอ…เหมือนเดิม
คุณทาคาฮาชิเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม สูงราว 160 กว่า สวมแว่นสายตา หัวเริ่มเถิก หรือที่เพื่อนของคิโยมิสรุปให้ว่า “เหมือนผู้ชายญี่ปุ่นทั่วไปอีก 500 คน” ทว่า คุณทาคาฮาชิกุมความลับสุดยอดมาตลอดชีวิตว่าเขาคือ ‘เอเลียน’ (หรือพูดให้ถูกกว่านั้น เขาเป็นลูกครึ่งเอเลียน ด้วยมารดาเป็นชาวโลก)
อย่างไรเสียคิโยมิมีอุปนิสัยเยี่ยงชาวโลกทั่วไป คล้อยหลังจากให้สัญญากับคุณทาคาฮาชิว่าจะไม่แพร่งพรายความลับที่ว่าเขาเป็นเอเลียน เธอนำความไปบอกเพื่อนสนิทสองคนที่โตมาด้วยกันทันที ทำเอาเอเลียนถึงกับมองบน นำไปสู่วีรกรรมสนุกๆ ของเอเลียนวัยกลางคนกับแก๊งเพื่อนสาววัยสี่สิบ

Practical Superpower
คิโยมิกับเพื่อนไม่ใช่คนหูเบา ยิ่งเรื่องจะโดนเอเลียนหลอก ยิ่งต้องทำหูหนักให้มาก พวกเธอจึงท้าทายให้คุณทาคาฮาชิพิสูจน์ว่าเขาเป็นเอเลียนตัวจริงกลางกลางร้านอาหารคนพลุกพล่านในเมืองเล็กๆ ที่ดูเหมือนทุกคนจะรู้จักกันนั่นแหละ คุณทาคาฮาชิที่แรกๆ พยายามปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเหลือเกิน ขณะเดียวกันกลับกระตือรือร้นที่จะพิสูจน์กับสาวๆ ให้เชื่อว่าเขาคือเอเลียนจึงแสดง ‘พลังวิเศษ’ ต่างๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอันมาก เช่น
พลังหูทิพย์ เขาได้ยินว่าคิโยมิกับเพื่อนพูดคุยเรื่องอะไรกันโดยยืนห่างออกไปหลายเมตร (ถ้าเป็นละครบางประเทศ อยู่ไกลกว่านี้ยังได้ยินเลย)
จมูกไร้เทียมทาน ครั้งหนึ่งคิโยมิขอให้คุณทาคาฮาชิช่วยตามหาของหายในโรงแรม เขาจึงตามกลิ่นของที่หายไปจนได้ของคืนและจับตัวขโมยได้ (หรือว่าสุนัขตำรวจก็อาจจะดมกลิ่นแบบนี้ได้นะ)
พละกำลังเกินต้าน คุณทาคาฮาชิสามารถกระโดดได้สูงนับสิบเมตร คิโยมิจึงขอให้เขาโดดขึ้นไปเก็บลูกวอลเลย์ที่ติดแหง็กบนขื่อโรงยิมให้เพื่อนของเธอหน่อย ซึ่งบังเอิญว่าได้เจอกับแก๊งชาวโลกตัวป่วน คุณทาคาฮาชิจึงใช้พลังมหาศาลจัดการ ‘พ่น’ ลูกอมใส่จนพวกนั้นหงายเก๋งไปเลย เป็นซีนแอ็กชั่นที่เท่ซะไม่มี

New Theory of Alienation
ต่างจากหนังฮอลลีวูดที่มักฉายภาพให้เอเลียนคือตัวแปรที่ทำให้มนุษย์หันมาจับมือกันทันทีแบบความปฏิปักษ์ทางเชื้อชาติ ศาสนา ค่าเงินหรือความเชื่อกลายเป็นเรื่องเอาไว้ทีหลังได้ เอเลียนจึงเป็นภาพแทนของความเป็นอื่น สิ่งแปลกปลอม ความไม่ปกติในสังคม (หรือในใจเราเอง) ซึ่งถ้าเจอเมื่อไร เราต้องกำจัดความแปลกปลอมนั้นให้สิ้นซากไป เพื่อที่เราจะได้กลับมาทะเลาะกันเองเหมือนเดิม
แต่ The Hot Spot ทำให้การเจอเอเลียนเป็นเรื่องผิดปกติระดับ 0.5 ในชีวิต “อ๋อเหรอ แล้วนิ้วเขาเรืองแสงได้แบบอีทีไหมล่ะ” เพื่อนของคิโยมิถาม มิหนำซ้ำยังขอให้เอเลียนใช้ ‘พลังโฟกัส’ ติดฟิล์มมือถือให้เรียบเนียนไร้ฟองอากาศ
“ทำไมไม่ให้พนักงานที่ร้านทำให้ล่ะ” เอเลียนถาม
“ไม่อยากเสียเงินน่ะ จะให้เขาทำให้ฟรีก็เกรงใจ” เพื่อนคิโยมิตอบ
“แล้วไม่เกรงใจผมบ้างรึไง” เอเลียนหัวเสีย “เอามานี่ ทำให้ก็ได้” แล้วก้มหน้าก้มตาติดฟิล์มอย่างกริบ
นี่มันคือการเผชิญหน้ากับเอเลียนแบบไหนกัน!?!

ตั้งแต่พวกเขาทั้งสี่กุมความลับเดียวกัน คิโยมิและเพื่อนได้กลับมาสนิทกันอีกครั้ง แถมนัดกินข้าวช่วงวันหยุดสัปดาห์ของพวกเธอก็มีสมาชิกใหม่เป็นเอเลียนขี้บ่นรายนี้ มีการซื้อขนมมาฝาก โต้เถียงกันบ้าง และคุยกันฉันท์มิตรทันทีที่ตกลงผลประโยชน์กันได้อย่างที่อารยชนพึงกระทำ
ไม่มีคำถามว่าเอเลียนมาโลกทำไม จะยึดครองโลกกี่โมง แล้วระดมขีปนาวุธมาขับไส ‘ผู้รุกราน’ พวกเขาแค่กินข้าวและดูดน้ำปั่นกันอย่างเงียบๆ ขณะใช้เวลายามบ่ายร่วมกัน
Mundane Charm
หะแรกที่คลิกดูซีรีส์เรื่องนี้เพราะคิดว่าเป็นเรื่องราวอาชีพคนทำงานโรงแรม เราจะได้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังของสายงานนี้ ซึ่งก็ได้แก่ การเปลี่ยนกะของพนักงานรีเซปชั่นที่คิโยมิทำ (‘ไปนะคะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ’ จบ) การนินทาเพื่อนร่วมงานว่าทำไมคนนั้นเปลี่ยนชุดเร็ว คนนี้เปลี่ยนชุดช้า การดีเบตจริงจังว่าทำไมพนักงานต้องเอามือกันประตูลิฟต์ให้แขกด้วย ทั้งที่ลิฟต์ตั้งเวลาเปิด-ปิดอยู่แล้ว จนได้ข้อสรุปว่า ต้องทำเพื่อให้แขกรู้สึกว่าเราตั้งใจทำงาน ฯลฯ

ตัวละครในเรื่องนี้ประกอบอาชีพสุจริตทั่วไป คิโยมิเป็นพนักงานโรงแรม เพื่อนอีกคนเป็นครู อีกคนทำอาชีพอะไรไม่รู้ แก๊งเพื่อนสาวมักมีซีนคุยกันยาวๆ เรื่องขนมวัยเด็ก รสชาติอาหารมื้อนี้ที่กินอยู่ เจอเรื่องอะไรที่ทำงานบ้าง มันแสนจะธรรมดาและเรียลมาก เสียจนคิดว่าคุณ Bakarhythm นักเขียนบทต้องแอบไปนั่งฟังคนคุยกันจริงๆ เป็นแน่ ขณะเดียวกันการตั้งใจถกเถียงกันเรื่องธรรมดาเหล่านี้กลับดูจริงมากเสียจนขำ แต่คนเขียนบทจงใจให้คนดูออกเสียงขำแค่ “เหอะๆ หึๆ ฮะๆ” ไม่มีการดีดไปขั้นขำรั่วขำก๊าก ที่สำคัญไม่น่าเบื่อเลยสักประโยคได้อย่างน่าอัศจรรย์ว่าเขียนบทเปี่ยมเสน่ห์แบบนี้ได้อย่างไร
หรือความสามัญธรรมดาคือซูเปอร์พาวเวอร์?

Text: Suphakdipa Poolsap