นับเป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่เหล่าคนรักนาฬิกาไม่ควรพลาดไปเยี่ยมเยือนสักครั้ง กับการรวบรวมและจัดแสดงผลงานเรือนเวลาประวัติศาสตร์ของ Audemars Piguet ด้วยความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับหลากหลายเรื่องราวของทั้งมรดกการประดิษฐ์สร้างสรรค์ ความเชี่ยวชาญด้านหัตถศิลป์ และต้นกำเนิดแห่งวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงโลกและเครื่องบอกเวลาไว้ด้วยกัน ภายในอาคารรูปทรงขดเกลียวหรือ Spiral อันเป็นเอกลักษณ์ของ Musée Atelier Audemars Piguet ที่ได้ต้อนรับเราด้วยหลากหลายมิติของการสะท้อนถึงรากลึกทางประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณแห่งความคิดก้าวหน้าอันเป็นปรัชญาของเมซง
หลังการเปิดอย่างเป็นทางการของ Musée Atelier Audemars Piguet ณ Le Brassus สวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2020 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ต้อนรับผู้มาเยือนและผู้ที่สนใจในเรื่องราวของเรือนเวลา โดยเปิดให้สาธารณชนสามารถเข้าชมได้ผ่านการลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้า พร้อมทั้งโปรแกรมสำหรับการทัวร์พิพิธภัณฑ์สำหรับเด็กๆ ที่สามารถจองการเข้าชมได้เช่นกัน ภายใต้ความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมโครงสร้างอาคารที่ออกแบบโดย BIG (Bjarke Ingels Group) ซึ่งรวมเอาห้องปฏิบัติการดั้งเดิมที่ก่อตั้งโดยเหล่าผู้ก่อตั้งของ Audemars Piguet นับจากปี 1875 มาผสมผสานเข้ากับโครงสร้างอาคารแบบกระจกทั้งหมด นอกจากนี้ หลายคนคงยังจำภาพของอาคารรูปทรงขดเกลียวที่ชวนให้นึกถึงขดสปริงภายในกลไกจักรกลของนาฬิกาอันเป็นเอกลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์นี้ได้อย่างไม่รู้ลืม ซึ่งไม่เพียงกลายเป็นสัญลักษณ์ส่วนหนึ่งของเมือง Le Brassus แต่เบื้องหลังนั้นยังผ่านการศึกษาด้านการใช้วัสดุโครงสร้างและออกแบบมาให้สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์โดยรอบแห่ง Vallée de Joux ได้อย่างกลมกลืน
Centre of Timepieces
ภายในพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมผลงานการสร้างสรรค์เรือนเวลาทางประวัติศาสตร์ และนาฬิกาคอลเล็กชั่นต่างๆ ของ Audemars Piguet ไว้ราว 300 ผลงาน ซึ่งล้วนเป็นตัวแทนของแต่ละยุคสมัยและสะท้อนถึงการบุกเบิกด้านนวัตกรรม ดีไซน์ และความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส และนอกเหนือจากคอลเล็กชั่นทางประวัติศาสตร์เหล่านี้แล้ว พื้นที่ภายในพิพิธภัณฑ์ยังผสมผสานไว้ด้วยห้องปฏิบัติการที่เป็นต้นกำเนิดของการผลิตนาฬิการวมอยู่ด้วย 2 แห่ง ทั้งห้องปฏิบัติการ Métiers d’Art Atelier ที่รังสรรค์ผลงานอย่างเรือนเวลาประดับอัญมณีชั้นสูง ผสมผสานด้วยศิลปะงานฝีมืออีกหลากหลายแขนง และห้องปฏิบัติการ Grandes Complications Atelier ซึ่งนั่นทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชีวิตยิ่งขึ้น โดยผู้มาเยือนยังสามารถสังเกตการณ์การทำงานและชมขั้นตอนของการประดิษฐ์ผลงานโดยเหล่าช่างนาฬิกาภายในห้องกระจกผนังโค้งได้อย่างใกล้ชิด
เมื่อก้าวเข้าสู่ Musée Atelier Audemars Piguet พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ต้อนรับเราด้วยพื้นที่จัดแสดงคอลเล็กชั่นนาฬิกาและเครื่องบอกเวลาทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญๆ ตลอดจนคอลเล็กชั่นผลงานร่วมสมัยจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังจัดแสดงร่วมกับหลากหลายผลงาน automata และศิลปะจักรกลเคลื่อนไหวอื่นๆ พร้อมด้วยแบบจำลองของโครงสร้างกลไกจักรกลอันซับซ้อน เพื่อให้เราได้ศึกษาถึงเทคนิคและงานออกแบบด้านกลไกและเรือนเวลาในหลากหลายมิติมากขึ้น จากนั้น เรายังได้เยี่ยมชมการทำงานของห้องปฏิบัติการสร้างสรรค์นาฬิการุ่นพิเศษโดยช่างนาฬิกาและช่างฝีมือที่ทำงานร่วมกันเพื่อคิดค้นเทคนิคใหม่ๆ รวมถึงงานออกแบบเรือนเวลาที่สะท้อนถึงแนวคิดการประดิษฐ์อันก้าวหน้าล้ำสมัย ก่อนจะเดินทางต่อสู่พื้นที่จัดแสดงผลงาน ณ ศูนย์กลางของอาคาร Spiral แห่งนี้ ที่เป็นพื้นที่ราวกับวงเวียนแห่งประวัติศาสตร์ซึ่งจัดแสดงทั้งคอลเล็กชั่นผลงานทางประวัติศาสตร์ของ Audemars Piguet อาทิ บรรดานาฬิกาพกและนาฬิกาข้อมือยุคแรกเริ่ม เช่นเดียวกับผลงานซึ่งเป็นตัวแทนของศาสตร์และศิลปะของการประดิษฐ์นาฬิกาที่ถือกำเนิดขึ้นใน Vallée de Joux และการจัดแสดงนาฬิกาสลับซับซ้อนสูงสุดของโรงงานการผลิต อย่าง คอลเล็กชั่น Grand Complication
นอกเหนือจากคอลเล็กชั่นซึ่งจัดแสดงแบบถาวรภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้ว ยังมีส่วนของการจัดแสดงนิทรรศการชั่วคราว ซึ่ง ณ ช่วงเวลาที่เราได้เดินทางไปเยี่ยมชมนั้น ได้จัดแสดงนิทรรศการชื่อว่า ‘Simply Complicated’ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ Code 11.59 by Audemars Piguet Ultra-Complication Universelle RD#4 โดยนิทรรศการได้บอกเล่าถึงการเดินทางผจญภัยของมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์ผลงานอันยิ่งใหญ่ และอีกหลากหลายความท้าทายที่ต้องเผชิญกว่าจะได้มาเป็นเรือนเวลาข้อมืออันซับซ้อนสูงสุดเท่าที่เคยสร้างสรรค์มาโดยเมซง ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาพก L’Universelle ปี 1899 โครงการนี้ได้หลอมรวมองค์ความรู้ด้านศาสตร์และศิลปะของการประดิษฐ์นาฬิกา ที่ผสมผสานเข้ากับพรสวรรค์ของมนุษย์และเทคโนโลยีอันล้ำสมัย
ส่วนชั้นบนของอาคารยังเป็นที่ตั้งของ Restoration Atelier ซึ่งเป็นห้องทำงานของเหล่าช่างนาฬิกาผู้เชี่ยวชาญสูงในการซ่อมบำรุงและดูแลนาฬิกาเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ที่รังสรรค์โดย Audemars Piguet รวมถึงจากอาร์ติลิเยร์อันโด่งดังอื่นๆ ด้วยความตั้งใจที่จะให้สถานที่นี้เป็นดั่งบ้านแห่งเครื่องบอกเวลาที่ยังคงทำหน้าที่แสดงออกถึงความรุ่มรวยแห่งศาสตร์และศิลป์ในประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาซึ่งอยู่เหนือกาลเวลา
Pure Sustainability
ทั้งภายในตัวอาคารของ Musée Atelier Audemars Piguet รวมถึงโรงแรมที่เราเข้าพักในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ณ Hôtel des Horlogers ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2022 และตั้งออกไปเพียงไม่กี่ก้าวจากพิพิธภัณฑ์ ต่างยังคงได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งแวดล้อมและสถานที่ตั้ง อย่าง Le Brassus และ Vallée de Joux ด้วยการผสมผสานอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ และสืบทอดแนวคิดของความยั่งยืนแบบองค์รวมโดยได้รับประกาศนียบัตร Minergie-ECO® ผ่านการออกแบบโครงสร้างอาคารอันล้ำสมัย สอดรับกับเส้นสายที่เรียบง่ายและกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน เฉกเช่นเดียวกับโครงสร้างกระจกและขดเกลียวของพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงนั่นเอง
ทั้งส่วนของห้องพักจำนวน 50 ห้องของโรงแรม ผ่านทางเดินแบบซิกแซกที่เชื่อมโยงถึงกันได้ทั้งหมด รวมถึงห้องประชุมสัมมนา ร้านอาหารและบาร์ ศูนย์สุขภาพและสปา ซึ่งต่างก็ใช้อุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนวัสดุและวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและได้มาจากท้องถิ่นที่โอบรับกับธรรมชาติ ตลอดจนช่วยส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว พร้อมทั้งร่วมสนับสนุนความเชี่ยวชาญและมรดกของท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จัก
The Collections
ในช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา Audemars Piguet ยังได้เปิดตัว 3 ผลงานสำคัญจาก Le Brassus ที่สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญด้านจักรกล ความชำนาญด้านงานฝีมือและความสวยงามของสุนทรียะศาสตร์ ทั้งรุ่น Code 11.59 by Audemars Piguet กับโครงสร้างตัวเรือนอันซับซ้อน ที่มาพร้อมเทคนิคการรังสรรค์หน้าปัดด้วยเฉดสี เช่น สีม่วง และสีงาช้าง และลวดลายอันประณีต ส่วนอีก 2 รุ่นนั้นเป็นผลงานประดับอัญมณีชั้นสูง ทั้ง Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin ที่ประดับด้วยเพชรทั่วทั้งเรือน และ Royal Oak Selfwinding Snow-setting ประดับด้วยเพชรบริลเลียนต์แบบ Snow-setting ทั้งตัวเรือนและสาย มอบความงดงามวิจิตร และนับเป็นตัวแทนของการบรรจบระหว่างการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูงและเรือนเวลาประดับอัญมณีชั้นสูงที่แสดงออกอย่างมีชั้นเชิงโดย Audemars Piguet เสมอมา
การเดินทางเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Musée Atelier Audemars Piguet นับเป็นการย้อนเวลาสู่การค้นพบแรงบันดาลใจ ต้นกำเนิดของการประดิษฐ์สร้างสรรค์นาฬิกา ทั้งยังได้ชื่นชมการทำงานสุดอัจฉริยะของเหล่าช่างนาฬิกา ซึ่งยังคงได้รับการสืบทอดและพัฒนาสู่ผลงานอันยอดเยี่ยมของเมซงจนถึงปัจจุบัน
Courtesy of Audemars Piguet