Monday, February 10, 2025

การบริจาคเสื้อผ้าอาจไม่ได้นำมาซึ่งผลดี หากที่หย่อนลงกล่องคือวายร้ายชื่อ ‘ฟาสต์แฟชั่น’

สมการที่ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้วคือ ฟาสต์แฟชั่น + บริจาค = ดี เพราะมีผลวิจัยชี้ว่าผลลัพธ์นี้นำไปสู่หายนะ

น่าทึ่งใช่ไหมที่ทุกวันนี้เราซื้อเสื้อผ้าได้ปริมาณมากขึ้นโดยใช้จำนวนเงินเท่ากับเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นเพราะการมาของฟาสต์แฟชั่นที่ทำให้สายแฟได้ใส่ชิ้นอินเทรนด์ในราคาถูกเหลือเชื่อ แต่ความน่าสะพรึงคือเสื้อผ้าเหล่านี้ใช้วัสดุและการตัดเย็บคุณภาพต่ำ ใช้ไม่กี่ครั้งก็อาจยืด หด รุ่ย แต่เราก็แคร์ไม่ เพราะของมันราคาไม่เท่าไร ซื้อใหม่ง่ายดี และเมื่อถึงวาระ ‘tidying up’ คุณนักจัดบ้านทั้งหลายก็มักแนะนำให้เราเลือกเก็บแต่สิ่งที่ ‘spark joy’ อันไหนไม่จอยแล้วก็จบ หย่อนลงกล่อง ‘ส่งต่อ/บริจาค’ จากนั้นเราก็เดินหน้าใช้ชีวิตที่โปร่งโล่งทั้งกายใจได้แล้ว ดีจัง! โดยหารู้ไม่ว่ากล่อง ‘ส่งต่อ/บริจาค’ จากบ้านเราจะเดินทางไปสู่ที่ใด

ทีมนักวิจัยช่างสงสัยเฝ้าติดตามเส้นทางของเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นที่ผู้คนมักบริจาคจากเมืองต่างๆ จากเมลเบิร์น แมนเชสเตอร์ ไปจนถึงแมนแฮตตัน ซึ่งถูกส่งต่อไปยังมูลนิธิ หรือมีผู้รับซื้อไปขายต่อแบบเหมาตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจะถูกรับซื้อแบบเหมากระสอบ หรือชั่งกิโลขาย แล้วขายปลีกอีกที ทว่าด้วยคุณภาพอันต่ำต้อยทั้งวัสดุและการตัดเย็บ ฟาสต์แฟชั่นที่โดนบริจาคมาเหล่านี้กลับกลายเป็นภาระ มูลนิธิต่างๆ ไม่อยากได้ของคุณภาพต่ำ คนทำธุรกิจเสื้อผ้ามือสองไม่อยากได้ของพังๆ ที่ขายต่อไม่ได้ราคา  

ลงท้ายแล้วเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นที่ถูกบริจาคจึงไปทับถมกันที่บ่อขยะ ร่วมกับขยะจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ รวมแล้วปีละ 92 ล้านตัน ซึ่งจะถูกกำจัดโดยวิธีฝังกลบหรือเผาทิ้งให้สิ้นซากไป เหลือไว้เพียงก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาลที่อุตสาหกรรมนี้ผลิตมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกที่ปีละ 1,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าหรือเท่ากับ 10% ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดจากทุกอุตสาหกรรมที่ปล่อยออกมา

ทว่าขยะฟาสต์แฟชั่นส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกจำกัดตามเมืองใหญ่ในยุโรปหรืออเมริกา เพราะปริมาณที่มากมายจนสร้างภาระทางการเงินให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทุกฝ่ายเหล่านั้นได้ ‘ส่งต่อ’ ฟาสต์แฟชั่นที่คุณภาพต่ำเกินกว่าจะอัพไซเคิล รีไซเคิล หรือดาวน์ไซเคิล (การนำวัตถุดิบกลับมาใช้โดยที่ของใหม่มีค่าน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ตั้งต้น) ไปยังประเทศที่กฎหมายด้านการจัดการขยะเข้มงวดน้อยกว่า ฮัลโหล…ฮัลโหล…ไม่ต้องมองซ้ายมองขวาไปหรอก เพราะมันก็ได้แก่ประเทศโลกที่สามทั้งหลาย อาทิ ประเทศต่างๆ ในแอฟริกา รวมถึงประเทศไทยที่กลายเป็นบ่อขยะโลก ตั้งแต่ขยะแฟชั่นไปจนถึงขยะอิเล็กทรอนิกส์ (ขอให้ดูสารคดี Buy Now: The Shopping Conspiracy ทาง Netflix เพื่อความสะพรึงยิ่งขึ้น)  

ทางออกของเรื่องนี้คืออะไร ทีมวิจัยได้เสนอแนะแนวทางไว้หลายข้อ เช่น รัฐบาลของประเทศต่างๆ ต้องรณรงค์เรื่อง Extended Producer Responsibility (EPR) หรือหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตที่ต้องรับผิดชอบทั้งระบบของห่วงโซ่ของสินค้า ตั้งแต่การผลิตเสื้อผ้าไปจนถึงการกำจัดปลายทาง เพื่อโยนความรับผิดชอบกลับไปให้ผู้ผลิตให้หาทางใช้วัสดุที่ใช้ได้ยาวนาน ไม่ผลิตเกินความต้องการ ควบคู่ไปกับการที่ภาครัฐ คนในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และแบรนด์ต่างๆ ร่วมกันรณรงค์การไม่บริโภคเกินความจำเป็นและสนับสนุนแบรนด์ที่ทำแฟชั่นยั่งยืน ขณะเดียวกันร้านรวงต่างๆ ต้องปรับรูปแบบการทำธุรกิจ หรือเพิ่มโซนแลกเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุมชนรีไซเคิล หรือคาเฟ่ซ่อมแซมสินค้าแฟชั่น

ในหลายๆ เมืองได้ยกระดับการต่อต้านฟาสต์แฟชั่นคุณภาพต่ำไปอีกขั้น ด้วยการทำแคมเปญโฆษณามาสู้กับแบรนด์ใหญ่เงินหนา รณรงค์ให้คนหันมาคัดเลือกเสื้อผ้าคุณภาพดีที่ไม่ใช้แล้วไปบริจาคแทน เพื่อให้มีคนนำไปใช้งานต่อได้จริงไม่ทิ้งเป็นขยะซ้ำซาก ส่วนฝรั่งเศส เมืองหลวงแฟชั่นโลกเดินเกมจริงจัง เมื่อเดือนมีนาคม 2024 สภาล่างผ่านกฎหมายคิดภาษีสิ่งแวดล้อมต่อสินค้า ‘อัลตร้าฟาสต์แฟชั่น’ โดยเริ่มที่ 5-10 ปอนด์ต่อชิ้น และห้ามไม่ให้โฆษณาสินค้าอัลตร้าฟาสต์แฟชั่น รวมทั้งบังคับให้ผู้ผลิตฟาสต์แฟชั่นต้องใส่ข้อมูลด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสินค้าในป้ายราคา เพื่อระบุวิธีการนำสินค้าชิ้นนั้นๆ กลับมาใช้งานใหม่ ซ่อมแซม หรือรีไซเคิล ซึ่งกฎหมายใหม่นี้มุ่งสกัดแบรนด์อัลตร้าฟาสต์แฟชั่นเงินหนาจากจีนที่ไหลทะลักไปทั่ววงการแฟชั่นนั่นเอง  

เรามองกระเป๋าสีเทานกพิราบใบสวยจากแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นเบอร์ 1 ของโลกที่หนังสังเคราะห์ของมันกร่อนร่อนจนถือไปไหนก็มีเศษร่วงตามหลังราวกับ Hansel & Gretel โรยขนมปังไว้บอกทาง และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ฉันซื้อจากแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน พบกันใหม่เมื่อเธอเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์!   

TEXT: SUPHAKDIPA POOLSAP

Latest Posts

Don't Miss