สำหรับปี 2024 นี้คงเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่เหล่าสายแฟชั่นได้ตื่นตาตื่นใจกับคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะในช่วงแฟชั่นวีก หรือผลงานชุดพิเศษจากแบรนด์ต่าง ๆ อยู่ตลอดทั้งปี และหนึ่งในโชว์สำคัญที่สร้างความประทับใจให้ทุกคนเป็นพิเศษก็คือ Gucci Cruise 2025 คอลเล็กชั่นครูซ ครั้งแรกจากฝีมือของครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนใหม่อย่าง Sabato De Sarno จัดแฟชั่นโชว์ขึ้น ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Tate Modern เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งชาวไทยอาจคุ้นกับภาพของแอมบาสซาเดอร์สาวอย่างใหม่ ดาวิกา ที่เดินทางไปร่วมชมโชว์ครั้งนี้ด้วย
และ ELLE5Things ในสัปดาห์นี้ เราจึงอยากพาทุกคนมาเจาะลึกถึงแต่ละองค์ประกอบในคอลเล็กชั่นนี้กันอีกครั้ง เพื่อย้ำถึงความน่าจดจำและเป็นอีกหมุดหมายสำคัญที่จะส่งผลต่อก้าวถัดไปของแบรนด์กัน
The Inspiration
เมื่อกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของ Gucci นั้น ถึงจะเป็นแบรนด์หรูจากแดนอิตาลี แต่อีกหนึ่งเมืองสำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ก่อตั้งอย่าง Guccio Gucci จนกลายมาเป็นกุชชี่ในทุกวันนี้ก็คือกรุงลอนดอน ถิ่นที่ตั้งของ The Savoy โรงแรมที่เขามาเริ่มต้นอาชีพเด็กยกกระเป๋าและจุดประกายให้เกิดดีไซน์กระเป๋าเดินทางใบแรกของแบรนด์ ตัวครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ Sabato De Sarno จึงเลือกหยิบยกจิตวิญญาณ ความแตกต่าง และความลงตัวของสถานที่แห่งนี้มาประกอบขึ้นเป็นคอลเล็กชั่น Cruise 2025 ให้ทุกคนได้ชม
The Concept
Sabato De Sarno ได้ให้คำนิยามของแก่นแท้ความเป็นกรุงลอนดอนไว้ว่า Duality หรือความเป็นขั้วตรงข้าม แต่ละดีเทลที่เราได้เห็นจึงเป็นการจับเอาสองสิ่งที่แตกต่างกันมาไว้ด้วยกัน อาทิ เสน่ห์ความเป็นอังกฤษอย่างลวดลายตารางที่ถูกตีความใหม่และความเป็นอิตาเลียนที่สื่อผ่านงานคราฟต์แมนชิป การสร้างไดนามิกระหว่างสไตล์โรแมนติกที่ถ่ายทอดจากผ้าลูกไม้ ผ้าไหมโปร่งบางที่พลิ้วไหว เดรสจับพลีต กระโปรง หรือเสื้อที่ประดับโบว์ก็มีความเฟมินีน สลับไปกับงานเทเลอริ่งที่ให้ความเรียบโก้อย่างแจ็กเกตสูทหรือเสื้อโค้ตตัวยาว อีกทั้งในด้านซิลลูเอ็ตของเสื้อผ้าก็เป็นการนำเอากลิ่นอายของลุคต่างๆ ในช่วงตั้งแต่ยุค 70s มารังสรรค์ใหม่ให้เป็นเสื้อภาพสตรีที่มีความร่วมสมัยมากขึ้น จึงถือเป็นการจับคู่กาลเวลาสองยุคสมัยได้อย่างชาญฉลาด
The Floral
หนึ่งในองค์ประกอบที่ดึงดูดความสนใจของเหล่าสายแฟได้ดีนอกจากด้านคอนเซ็ปต์ที่แข็งแรงแล้ว น่าจะเป็นดอกไม้ที่บานสะพรั่งไปทั่วทั้งคอลเล็กชั่น Cruise 2025 โดยใครที่ติดตามผลงานของแบรนด์มาคงทราบกันดีว่าลวดลายดอกไม้เป็นโมทีฟที่อยู่คู่กับแบรนด์มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ซึ่งซาบาโตเองเลือกหยิบดอกคาโมมายล์สีขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของความเงียบสงบ โรแมนติก ผ่อนคลาย มาปักเป็นลวดลายสามมิติลงบนไอเท็มต่าง ๆ เช่นเสื้อ เดรส กระโปรง กางเกงเดนิม ซึ่งเติมเต็มให้ผลงานครั้งนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
The Gucci Blondie
สำหรับแอ็กเซสเซอรี่ส์ชิ้นเด่นของคอลเล็กชั่นนี้ต้องยกให้กระเป๋า Gucci Blondie ที่เหล่าสาวกแบรนด์น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะกระเป๋าอันโดดเด่นด้วยดีไซน์สัญลักษณ์ G สองตัวกลับด้านซ้อนกันเป็นวงกลมสุดไอคอนิกใบนี้เคยปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1971 และกลายเป็นอีกรุ่นยอดฮิตที่ใครหลายคนชื่นชอบ โดยในคอลเล็กชั่นนี้ Gucci Blondie มีการใช้วัสดุหนังหรือหนังกลับคุณภาพสูง รวมไปถึงวัสดุผ้าแคนวาสทอด้วยเทคนิกแจ็กการ์ดมาพร้อมลวดลาย GG Monogram ซึ่งถ่ายทอดออกมาเป็นไอเท็มหลากเฉดสีหลายขนาด ทำให้ทุกคนสามารถเลือกหยิบจับมาแมตช์แต่ละลุคในโอกาสต่างๆ ได้ตามต้องการ
โดยสิ่งที่น่าสนใจนั้นยังรวมถึงแคมเปญล่าสุดในชื่อ We Will Always Have London ที่ได้ Debbie Harry นักร้องนำของวง Blondie และศิลปินที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์อย่าง Kelsey Lu มาร่วมเล่าเรื่องราวบนรถแท็กซี่อันเป็นภาพจำของกรุงลอนดอน เพื่อนำเสนอสายพันธ์ที่มีต่อเมืองแห่งนี้ ตลอดจนฉายภาพจิตวิญญาณของการผสมผสานระหว่างอดีตและอนาคตให้หนักแน่นขึ้นอีกด้วย
The Ballerina Shoes
แน่นอนว่าสิ่งสุดท้ายที่ไม่กล่าวถึงก็คงไม่ได้คืออีกหนึ่งไอเท็มสะดุดตาอย่างรองเท้าทรงบัลเล่ต์แบบเหลี่ยมรุ่น Ballerina ที่น่าจะถูกใจสาว ๆ ยุคนี้กันเป็นพิเศษด้วยสไตล์ Ballet Flat สุดคลาสสิกที่กลับมาฮิตอีกครั้งในปัจจุบัน มีการใช้สวัสดุหนังและหนังกลับในสีต่างๆ รวมถึงแคนวาส GG โมโนแกรม พร้อมตกแต่งเพิ่มความหรูหราด้วยฮาร์ดแวร์ดีไซน์ไอคอนิกอย่าง Horsebit พร้อมสายหนังรัดเท้าที่เพิ่มความน่าโดดเด่นให้รองเท้าคู่นี้กลายเป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่ต้องมีจากคอลเล็กชั่น Cruise 2025
Text: Nawajit Ua-apinansakul