Tuesday, January 7, 2025

กว่า 4 ทศวรรษของพิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ ดีไซเนอร์รุ่นลายครามที่ไม่เคยหมดไฟในการสร้างสรรค์

กว่า 42 ปีที่พิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ ยืนหยัดในวงการแฟชั่นไทย ซึ่งกาลเวลาพิสูจน์ว่ายังคงเป็นที่กล่าวขานแม้ผ่านพ้นมาหลายสมัยจนถึงยุคเจนซี หลายทศวรรษที่ผันผ่านเธอแปรผันจากพายุใหญ่ไปเป็นรุ่นใหญ่ที่สตรอง สงบ และพร้อมส่งต่อพลังหญิงแกร่งแก่คนรุ่นต่อไป  

ELLE: Atelier Pichita ยืนยงมาถึง 42 ปี จนถึงรุ่นที่ลูกสาวคนโตก้าวมาเป็นผู้บริหารแบรนด์ของแม่ และลูกสาวคนเล็กก้าวออกไปสร้างแบรนด์ของตัวเองได้แล้ว ถ่ายทอดการทำงานแก่ลูกๆ อย่างไร 

“เราเปิดอาเตอลิเยร์ในปี 1980 เริ่มทำงานสายอาชีพแฟชั่นมานับแต่นั้น ลูกสาวคนโต (ขนมจ้าง-ฑาทิม รักษะจิตร) ดูแลอาเตอลิเยร์และงานออกแบบยูนิฟอร์ม เขาดูด้านบริหาร แม่ดูด้านการผลิต ส่วนคนเล็ก (แป้งจี่-ธีมา รักษะจิตร) วาดรูปเก่ง สีสันสวย เขาทำลายผ้าสวย มีโลกส่วนตัวของเขา เขาเป็นดีไซเนอร์ที่ทำแบรนด์ตัวเอง 

“ลูกเห็นแม่ทำงานก็ซึมซับไปเอง เหมือนเขาจบปริญญาแฟชั่นไปเอง ไม่ใช่โดยการสอนแต่เป็นการเห็นและได้จับต้องของจริง วิธีการทำงานของวงการแฟชั่นค่อนข้างละเอียดอ่อน อาจทำสำเร็จก็ได้หรือไม่สำเร็จก็ได้ คิดเสียว่าเหมือนทำงานศิลปะ วาดรูปแล้วลบ เติมสีใหม่ เป็นโชคดีของเขาที่ได้เห็นแม่ทำงาน นั่งปักเสื้อตัวหนึ่งนานเป็นเดือนๆ นั่นคืองานฝีมือที่ไม่ใช่ใครก็ทำได้ ลูกนั่งมองแล้วก็คิดว่าในชีวิตนี้ไม่มีวันจะทำงานแบบนี้ได้ ในที่สุดก็กรรมตามสนอง เมื่อเขาเองก็มาชอบงานฝีมือ นี่คือสิ่งที่ลูกๆซึมซับไปและเขาเก่งกันคนละทาง”

ELLE: การที่ลูกสาวทั้งสองคนโตมากับการเห็นแม่เป็นผู้ทำงาน คิดว่าส่งผลอย่างไรบ้าง 

“เราค่อนข้างเลี้ยงลูกแบบอิสระ เขาเลือกเรียนตามใจ ฑาทิมเรียนมัลติมีเดีย ศิลปากร ภาคอินเตอร์ ธีมาจบด้านไฟน์อาร์ตจาก Parsons และต่อโทที่ออสเตรเลีย เราให้เขาคิดเพียงว่าให้เลือกการเรียนที่จะเป็นอาชีพให้ลูกได้ในวันหนึ่งที่แม่ไม่อยู่ อย่าคิดว่าแม่จะอยู่ค้ำฟ้า เขาต้องอยู่รอดให้ได้และนั่นคือกฎเดียว เพราะเรามองว่าผู้หญิงรุ่นใหม่ หรือรุ่นไหนๆ ควรจะเป็นตัวของตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร ถ้าคิดว่าแต่งงานไปแล้วก็เป็นแค่ภรรยาหรือแม่บ้านภรรยา แล้วคำว่า ‘ฉัน’ อยู่ตรงไหน เราไม่ได้สอนลูกในลักษณะนี้ แต่เราสอนให้ลูกเป็นตัวเองและอยู่ได้ คนเราจะมีความสุขก็จากงานที่ทำและครอบครัว เช้ามาเราจะถามลูกว่าวันนี้จะทำอะไร เป็นคำที่ทุกคนเกลียดที่สุดในบ้านนี้ เพราะต้องหาคำตอบมาให้แม่ แต่ความหมายของเราคือวันนี้ลูกได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แล้วหรือยัง ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้ก็ต้องมีพลัง พลังมาจากความสุขที่เราจะมีแรงทำต่อไปได้เรื่อยๆ ดังนั้น พลังหญิงมาจากภายใน” 

ELLE: มองว่าความเป็นผู้หญิงแบบพิจิตรา และ Atelier Pichita วิวัฒน์ไปอย่างไรบ้าง

“เรามองตัวเองว่าเป็นคนมั่นใจในตัวเอง สิ่งนี้ทำให้เราเด่นชัดว่าเราทำอะไรได้-ไม่ได้ เราไม่ได้เก่งกาจกว้างขวางไปเสียทุกอย่าง เรามีบางเรื่องที่ทำได้ดี เหมือนแต่ก่อนเราถูกบังคับให้ต้องเรียนทุกอย่างในโรงเรียน บางวิชาไม่เห็นจะเป็นประโยชน์กับฉันตรงไหน ในสมัยนั้นเราคิดเอาเองว่าเลือกเรียนวิชาชีพดีกว่า จะได้มุ่งไปทางนั้นๆ เลย ซึ่งการที่เราเป็นผู้หญิงที่มีทักษะและคาแร็กเตอร์ชัดเจน เราจะมองปัญหา การทำงานและความสำเร็จในการทำงานออกหมดเลย ผู้หญิงที่เป็นลูกค้าของ Pichita ก็เป็นแบบนี้ บางคนเป็นแม่บ้านแต่ก็มีความเป็นผู้นำ ไม่ใช่แค่อยู่บ้านทำกับข้าว เขากลายเป็นคนสำคัญของครอบครัว หรือบางคนคิดเก่ง วางแผนเก่ง บริหารเก่งแต่อาจทำกับข้าวไม่เป็น อย่างเราเป็นต้น คนเราไม่ได้เก่งทุกอย่าง แต่เลือกเก่งในทางที่ชัดเจน”

ELLE: ทำแฟชั่นมา 42 ปีแล้ว อยากทำอะไรต่อไป

“อยากทำหนังสือ มันจะเป็นหลักฐานที่บอกว่าพิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ ทำอะไรไว้บ้าง หนังสือเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่มาดูได้โดยไม่ต้องรู้จักกัน ตอนนี้ก็ดำเนินการทำอยู่ น้องๆ ทั้งช่างภาพ สไตลิสต์ และนางแบบต่างๆ ก็มาช่วยกัน และมาถึงตอนนี้ครูส่วนใหญ่ของเราล้มหายตายจากไป เขาเป็นช่างฝีมือที่ทำให้เรารุ่งขึ้นมา เราจึงคิดจะทำโรงเรียน ความรู้ยังอยู่กับเรามากมายและพยายามทาหางเอาออกมาให้คนอื่นต่อไป”

ELLE: พลังในตัวเองมาจากไหนถึงยังไฟแรงได้นานกว่า 4 ทศวรรษ 

“ชีวิตเรามีแง่มุมที่ไม่สำเร็จเหมือนกัน เราไปช้า แต่ไม่ถอยหลัง เรายืนเฉยๆ ก็ยังได้คิด เราจะไม่ยอมแพ้ นี่คือพลังที่ทำให้เราเปลี่ยนมุมมองชีวิตให้มีความสุขขึ้นได้ คนเราต้องสร้างความรักในงานที่ทำก่อน อย่างเราทำเสื้อ 100 ตัว มี 60 ตัวที่คนชื่นชอบ เราก็พึงพอใจแล้ว อย่างแฟชั่นโชว์ 42 ปีก็ได้รับเสียงตอบรับดีมากๆ เพราะว่าไม่มีแบบซ้ำ เสื้อบางตัวตัดนาน 3-4 ปี เราทำงานด้วยความรักมาโดยตลอด

“เราต้องรู้จักรักตัวเองและครอบครัว แต่ไม่ใช่รักแล้วหวง แต่ก่อนน้อยใจลูก แม่นั่งอยู่บ้านคนเดียว แต่พอเรานิ่งคิด เขาก็มีชีวิตของเขา เราต้องให้เวลาตัวเองเพื่อจะให้ความรักอย่างถูกต้องโดยไม่ยื้อ ทุกวันนี้อารมณ์ดีกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น บางทีทำเสื้อไม่สวย นี่ทำออกมาได้อย่างไร แต่ก็หัวเราะและทำใหม่ อะไรที่ไม่ใช่ก็เดินจากไป ไม่หือไม่อือและไม่ทะเลาะกับใคร พอคิดได้แบบนี้ ชีวิตเราจึงเริ่มง่ายขึ้น แค่ตื่นมาเห็นพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าก็มีกำลังใจแล้ว มันคือตัวแทนของความหวัง”     

Latest Posts

Don't Miss