นับจากเปิดตัวผลงานเรือนเวลารุ่นใหม่แห่งปีมาแล้วในงาน Watches and Wonders Geneva 2023 ครั้งนี้ Cartier ก็ไม่รอช้า กับการนำผลงานไฮไลต์แห่งปีเหล่านี้มาอวดโฉมในเมืองไทย และข่าวดีคือพร้อมสำหรับวางจำหน่ายแล้วในประเทศไทย เพื่อให้เหล่าคนรักเรือนเวลาได้จับจองเป็นเจ้าของ
ในปีนี้ คอลเล็กชั่นเรือนเวลาของ Cartier ยังคงเป็นการนำเสนอการตีความใหม่มาจากนาฬิการะดับไอคอนของแบรนด์ ควบคู่กับการนำมาผสมผสานเข้ากับพลังสร้างสรรค์ จินตนาการและนวัตกรรม ทั้งในแง่ของการสร้างวิวัฒนาการก้าวใหม่ให้กับด้านงานดีไซน์อันโดดเด่น และฟังก์ชันของเรือนเวลาที่ตอบสนองกับรูปแบบการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของผู้คนยุคปัจจุบัน ทั้งยังเป็นบุกเบิกการเดินทางที่หล่อหลอมระหว่างอดีต ปัจจุบัน สู่อนาคต

Tank Américaine
ไฮไลต์เรือนเวลาเด่นๆ ที่นำมาอวดโฉมในเมืองไทยครั้งนี้ มาจากทั้งคอลเล็กชั่นไอคอนิก อย่าง Tank, Santos-Dumont, Baignoire, Clash [Un]limited, Pasha de Cartier และขาดไม่ได้คือ Ballon Bleu de Cartier ที่ต่างก็มีเอกลักษณ์ของานดีไซน์เฉพาะตัว นำมาถ่ายทอดสู่จินตนาการและการสร้างสรรค์ภายใต้สไตล์ใหม่ที่ทันสมัยและคงความประณีต รวมถึงความเชี่ยวชาญในงานฝีมือการตกแต่งอันเป็นมรดกทรงคุณค่าของการรังสรรค์เรือนเวลาไว้

เช่นในผลงานใหม่ของ Tank ทั้งในรุ่น Tank Française รูปโฉมใหม่ นำเสนอความเรียบง่าย และเปี่ยมด้วยเสน่ห์แห่งความคลาสสิกร่วมสมัย โดยตัดทอนรายละเอียดของการออกแบบที่ไม่จำเป็นออกไปและหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นของตำนานนาฬิกาเรือนเหลี่ยมได้สัดส่วนซึ่งรับกับข้อมือได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งรุ่นใหม่ของ Tank Américaine อันภูมิฐาน กับตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมเรียวยาวหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความโค้งมน ย้ำถึงดีไซน์ของต้นฉบับอย่าง Tank Cintrée ไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะด้านสัดส่วนและการเชื่อมระหว่างตัวเรือนและสายนาฬิกาได้อย่างไร้ที่ติ ทั้งคู่ยังเป็นดั่งเอกลักษณ์ของการรังสรรค์เรือนเวลาของ Cartier ที่ผสมผสานระหว่างความร่วมสมัยและทันสมัยได้อย่างกลมกลืน


ต่อกันที่ Santos-Dumont ซึ่งรุ่นใหม่ของปีนี้เป็นการน้อมรำลึกถึงต้นแบบ พร้อมทั้งนำเสนอผลงานสร้างสรรค์ใน 5 รูปแบบใหม่ที่ยกระดับความภูมิฐานขึ้นอีกขั้น โดยเฉพาะการนำเสนอด้วย 2 รูปแบบอันทันสมัยของนาฬิกาข้อมือตัวเรือนสีเทา และสี Navy Blue โดดเด่นด้วยหน้าปัดที่มีสีสัน ตัดกับเข็มชี้และตัวเลขโรมันสีทอง ซึ่งเลือกได้ทั้งรุ่นตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ หรือรุ่นทูโทนระหว่างเยลโลว์โกลด์และสตีล

ส่วนใครที่ชื่นชอบความทะมัดทะแมงแฝงสัมผัสของความมาสคิวลีนและแคชชวลคู่กันแล้ว ยังมีผลงานรุ่นใหม่ของ Santos de Cartier ที่นำเสนอด้วยเฉดสีสันของหน้าปัดอันสง่างาม อย่างเฉดสีเขียว หรือสีน้ำเงิน ตกแต่งบหน้าปัดอย่างมีมิตและประณีต ทั้งเล่นกับแสงและแสดงเวลาได้อย่างชัดเจน ถ่ายทอดความกระฉับกระเฉงด้วยตัวเรือนและสายสเตนเลสสตีล

ถือเป็นการกลับมาทวงคะแนนความนิยมในหมู่ผู้หญิงที่หลงใหลในดีไซน์จิวเวลรีวอทช์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่าง Baignoire นาฬิกาตัวเรือนรูปทรงไข่หรือทรงวงรีซ้อนกันสองวงที่คงความสวยงามอย่างเหนือกาลเวลา โดยการเปิดตัวรุ่นใหม่ของปีนี้ ยังนำเสนอด้วยตัวเลือกและสไตล์อันหลากหลายของ Baignoire de Cartier ทั้งรุ่นที่มาพร้อมกับกำไลข้อมือทอง ตัวเรือนแบบเรียบหรือประดับเพชร และการจับคู่มากับสายหนังมอบสไตล์คลาสสิก แต่ทันสมัยที่เสริมให้ลุคของสาวๆ นั้นโดดเด่น ไม่ว่าจะเลือกเป็นเวอร์ชันใดของ Baignoire ส่วนจุดเด่นอื่นๆ ของรุ่นใหม่ในปีนี้ ยังรวมไปถึงการปรับสัดส่วนให้ขอบหน้าปัดดูเรียวและกลมมน ขณะเดียวกันก็เสริมความชัดเจนของหน้าปัดแสดงเวลา และย้ำความโดดเด่นของตัวเลขโรมันซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเดิม เน้นคอนเซปต์ของการเป็นนาฬิกาที่สวมใส่เป็นเครื่องประดับได้แบบเรือนเดียวจบ พร้อมทั้งถ่ายทอดถึงวัฒนธรรมการออกแบบของ Cartier ที่แตกต่าง ส่งให้นาฬิกาเหล่านี้กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานระดับไอคอนของเมซง


เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษกับการเผยโฉมเรือนเวลาที่ออกแบบและสร้างสรรค์ขึ้นเฉพาะ มอบเป็นทั้งนาฬิกาและจิวเวลรีได้ในเรือนเดียว อย่าง Clash [Un]limited โดยรุ่นใหม่มาพร้อมดีไซน์ที่คงความเป็นซิกเนเจอร์ของ Cartier ไม่ว่าจะเป็น เม็ดมะยม หมุดปิโกต์สตั๊ด และคลู คาร์เร (clou carrés) ที่เป็นรหัสงานออกแบบมาจาก Clash de Cartier นำมาถักร้อยเป็นจิวเวลรีวอทช์เปี่ยมด้วยเสน่ห์ โดยเฉพาะหมุดปิโกต์ที่ให้สัมผัสถึงการเคลื่อนไหว การกลอกกลิ้งของลูกปัด ความนุ่มนวลและกลมกลึงรับไปกับผิวของผู้สวมใส่ ส่วนบนหน้าปัดและดีไซน์ของตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยม ตลอดจนสร้อยข้อมือนั้นตกแต่งด้วยรูปทรงเรขาคณิตมอบสมดุลยภาพ สะท้อนถึงความแม่นยำแห่งงานดีไซน์และสุนทรียะความสวยงามที่ลงตัว นาฬิกาเรือนเด่นของปีนี้ยังมาพร้อมวัสดุล้ำค่า อย่าง ทองเยลโลว์โกลด์ หรือโรสโกลด์ กับทองเฉดสีใหม่ประกายเหลือบม่วงไวโอเล็ตที่พัฒนาขึ้นเพื่อ Cartier โดยเฉพาะ ผสมผสานด้วยอัญมณีที่ขับเน้นดีไซน์ให้สะดุดตายิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโทนสีขาวดำของออนิกซ์, แบล็กสปิเนล, ออบซิเดียน, และเพชร หรือโทนหลากสีจากคอรัล, แบล็กสปิเนล, คริสโซเพรส, ซาโวไรต์ และเพชร

การกลับมาของ Pasha de Cartier ในปีนี้ มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น หลังจากที่คอลเล็กชั่นนี้ได้ถูกพลิกโฉมครั้งใหม่เมื่อปี 2020 แต่ยังคงสืบทอดมรดกของงานออกแบบอันเป็นต้นตำรับนับจากปี 1985 ไว้ อย่าง เอกลักษณ์ของลายเส้นกราฟิกบนตะแกรงสี่เหลี่ยมครอบอยู่เหนือหน้าปัดที่พลิกโฉมและออกแบบให้สามารถถอดออกได้อย่างสะดวกง่ายดาย หรือเม็ดมะยมที่ร้อยเข้ากับตัวเรือนและคล้องด้วยโซ่สีทอง สำหรับทายาทรุ่นใหม่ของปีนี้เป็นการตีความนาฬิกาอันสง่างามสู่ความอ่อนช้อยนุ่มนวลสำหรับผู้หญิงมากขึ้น โดยมาพร้อมกับตัวเรือนขนาด 35 มม. รังสรรค์จากวัสดุโรสโกลด์ หรือรุ่นสเตนเลสสตีล คู่ด้วยหน้าปัดแล็กเกอร์ รุ่นใหม่ยังมาพร้อมเสน่ห์ของการตกแต่งด้วยเฉดสีแดงทั้งบนลายเส้นตารางสี่เหลี่ยมครอบหน้าปัดและบนสายหนังสีแดง หรือเลือกได้ในเวอร์ชันโครโนกราฟ สำหรับรุ่นตัวเรือนขนาด 41 มม. ด้วยลุคสมาร์ทแคชชวลของหน้าปัดสีน้ำเงิน คู่กับตัวเรือนและสายสเตนเลสสตีล

ส่งท้ายด้วย Ballon Bleu de Cartier ที่สาวๆ หลายคนกำลังคิดถึง กับดีไซน์กลมมนเป็นเอกลักษณ์ที่ในปีนี้นำมาตีความใหม่ ผ่านการเสริมมิติและความเจิดจรัสแวววาวของเพชรที่นำมาประดับไว้บนทั้งตัวเรือนและหน้าปัดเรือนเวลาได้อย่างวิจิตรสวยงาม ซ่อนไว้ด้วยลูกเล่นของเส้นสายที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงเม็ดมะยมประดับแซปไฟร์สีน้ำเงินภายใต้วงแหวนทรงกลมขนาดเล็กซึ่งทำหน้าที่ปกป้องเม็ดมะยมและกลายเป็นสัญลักษณ์ไม่เหมือนใครของคอลเล็กชั่นนี้เสมอมา สำหรับรุ่นใหม่ยังมาพร้อมกับตัวเลือกของรุ่นสเตนเลสสตีล ไวต์โกลด์ หรือโรสโกลด์ หน้าปัดแบบผิวสัมผัสเรียบหรือประดับเพชรล้อมรอบ พร้อมทั้งสายสเตนเลสสตีลหรือสายหนัง ตอบโจทย์กับทุกความต้องการของผู้สวมใส่

นับเป็นอีกครั้งที่ Cartier ตอกย้ำถึงพลังสร้างสรรค์ที่ผสมผสานเข้ากับดีไซน์ไอคอนอันเหนือกาลเวลา ซึ่งสะท้อนผ่านคอลเล็กชั่นของเรือนเวลาอันงดงามแห่งปีเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์