ด้วยโชคชะตาชักพาหรือเหตุผลกลใดก็สุดจะทราบได้ ที่แอลลี่-อชิรญา นิติพน ได้รับบท ‘เจน’ ช่วงวัยรุ่นในภาพยนตร์เรื่อง น้อง.พี่.ที่รัก โดยมีนางเอกของเรื่อง ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ผู้เกิดวันและเดือนเดียวกันกับเธอพอดี แต่ช่วงเวลานั้นทำให้เธอเป็นที่รู้จัก สำทับด้วยการเป็นศิลปินเบอร์แรกของค่าย 411 Music ที่ซิงเกิ้ล How To Love ของเธอโด่งดังตั้งแต่ออกสตาร์ต จนวันนี้สรุปได้ว่าน่าจะเป็นเพราะคาแร็กเตอร์พ่วงความสามารถเฉพาะตัวที่ทำให้เธอเดินทางในสายบันเทิงมาได้และเป็นที่จดจำอย่างต่อเนื่อง แอลชวนทุกท่านไปค้นพบหลากแง่มุมและขุมพลังในตัวเธอผ่านคอลัมน์ B-Side Story คอนเทนต์ใหม่แกะกล่องของแอลที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักตัวตนอีกด้านของเหล่าศิลปินคนโปรด
WORK MODE: IN PURSUIT OF FINDING THE TRUE SELF
“ย้อนกลับไปตั้งแต่พรี-เดบิวต์ ต้องมีทำวิดีโอแนะนำตัวเองให้โลกรู้ว่าเรากำลังจะเป็นศิลปิน ตอนนั้นยังไม่ค่อยได้เข้ามามีส่วนร่วมกับกระบวนการทำงานเท่าไร ยังใหม่มากๆ ทีมเขาจะจัดให้เราว่าสไตล์เราประมาณนี้ ให้ดูแลตัวเองประมาณไหนถึงเป็นไปตามมาตรฐานของเขา พอได้เดบิวต์เป็นศิลปินแล้วถึงได้เข้าใจกระบวนการทำงาน ได้เข้าใจวงการบันเทิงมากขึ้น เริ่มอยากเป็นตัวเองมากขึ้น อยากออกความคิดเห็นมากขึ้น หลังๆ ในโปรเจ็กต์ของแอลลี่แทบจะ 100% เป็นตัวเองมากๆ” แอลลี่เริ่มเล่าถึงจุดตั้งต้นที่เธอเริ่มคลำทิศทางของเธอเอง หลังจากเริ่มเซตตัวตนจนชัดเจน เธอยิ่งกลับสนุกในการเปิดช่องให้คนมาตีความ “หนูรู้สึกว่าตัวเองชอบทำงานกับคนหลากหลาย ชอบเวลาที่เห็นเขาตีความหนู เหมือนแต่ละคนก็จะคิดไม่เหมือนกันว่าแอลลี่เป็นคนอย่างไร บางคนก็เห็นเราเป็นฟีลสดใส บางคนเห็นว่าซ่าๆ ดูกวนๆ บางคนเห็นว่าเท่เลย” จากการเปิดประตูสู่ตัวตนที่เธออาจไม่เคยล่วงรู้เป็นที่มาของเพลง ‘ZiGZaG’ ที่แต่งโดย The Toys “หนูบอกพี่เขาเลยว่าพี่อยากทำฟีลไหนให้ทำเลย ตอนนั้นไม่มีไอเดียเหมือนกันว่าอยากทำเพลงแนวไหน เป็นช่วงอยู่ในเฟสที่ทำผลงานมาค่อนข้างเยอะ ช่วงนั้นถ่ายเรื่อง สาธุ ถ่ายหลายอย่างจนรู้สึกว่าหาจุดตรงกลางไม่ได้ว่าเราคือใคร เราคืออะไร เลยบอกพี่เขาไปว่าเอาเลยค่ะพี่ เอาแบบสนุกที่สุด หนูไม่เคยร้องเพลงแบบนั้นมาก่อน ไม่เคยแร็พ พอมีท่อนแร็พก็รู้สึกว่า เออ พี่เขาเชื่อว่าเราทำได้ (อมยิ้ม)”


ส่วนซิงเกิ้ลล่าสุดด้วยฝีมือของอะตอม ชนกันต์ที่กำลังจะออกนับว่าได้เผยอีกด้านที่เติบโตขึ้นของเธอได้มากทีเดียว แอลลี่เผยว่า “เพลงค่อนข้างจริงจัง มันไม่ใช่เพลงป๊อป หรือป๊อปแดนซ์ทั่วๆ ไปแล้ว มันออกกึ่งเศร้านิดหนึ่งค่ะ ในมิวสิกวิดีโอจะได้เห็นแอลลี่ในอีกลุค ในแบบที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น หนูรู้สึกว่าไม่อยากดูเด็กแล้ว หลายอย่างๆ ที่เราทำคือสลัดภาพนั้นออกแต่คนยังไม่เข้าใจ คนยังเห็นว่าเราเป็นเด็กอยู่ เลยพยายามถอยหลังมามองดูแล้วลองใหม่ คราวนี้น่าจะเป็นครั้งที่คนเข้าใจได้แหละว่าแอลลี่มีความละเอียดอ่อน มีความเรียบร้อยขึ้น”


สาวมากเอเนอร์จียังแอบเฝ้าฝันถึงอัลบั้มเต็มที่ “รวมเพลงในหลายสไตล์ที่ชอบ อยากให้อัลบั้มนั้นมีทุกอย่าง ให้คนฟังได้เข้าใจว่า อ๋อ โอเค นี่คือรสชาติของเพลงแอลลี่ มันต้องว้าว ต้องควรค่าพอ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “หนูเป็นคนซีเรียสกับคุณภาพงานของตัวเองมากๆ มันเป็นสิ่งที่จะอยู่บนโลกตลอดไป อยากให้อีก 100 ปีถ้ามีใครกลับมาดูจะคิดว่ามันยังเท่อยู่ ยังเจ๋งอยู่ ไม่อยากให้เขาพูดได้ว่า เฮ้ย! มันเชยแล้ว รู้สึกว่าทุกอย่างที่ทำมันต้องคิดดีๆ ก่อน” เหมือนกับว่าความตั้งใจทำสิ่งใดๆ ให้ดียังผลให้เธอวิตกกังวลลามไปในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะการจัดการกับคอมเมนต์เชิงลบ การไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น และแน่นอนละว่าเธอพยายามหาทางสร้างสมดุลให้ดีที่สุด เธอเปรยว่า “ในวงการนี้มันมีขึ้นมีลงตลอดเวลา เรารู้สึกว่าเราก็ต้องมีขึ้นมีลงแหละ แต่จะทำอย่งไรให้เรา maintain ได้ หนูเพิ่งมาคิดได้ว่าปีนี้เราก็ 21 แล้ว ปีหน้า 22 อีกปีเรา 23 อีกปีเรา 24 (หัวเราะ) เราโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วในวงการก็จะมีน้องๆ เด็กใหม่ แล้วเราเคยเป็นเด็กอายุ 14 ในวงการมาก่อน ตอนนี้เราเลยเป็นรุ่นพี่แล้ว จะทำอย่างไรให้ maintain ให้ได้ต่อไปอีก อยู่มา 5 ปีแล้วมันก็นานมากๆ ผลงานที่ได้ทำก็เยอะมากๆ บางทีรู้สึกว่าไม่รู้จะทำอะไรได้อีก ไม่อยากให้คนเบื่อกับเรา”
“รู้สึกว่าชื่อแอลลี่เป็นชื่อที่ไม่ได้มีเยอะในวงการ ยังไม่รู้จักใครคนอื่นที่ชื่อเหมือนกัน (หัวเราะ)” แอลลี่กล่าวติดตลก “อยากให้อีก 50-60-70 ปี อยากเป็นให้เหมือนคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราที่พูดกันว่า หูย ตอนแม่เด็กๆ คนนี้ดังมากกกก (ลากเสียงยาว) คนนี้เก่งมาก อยากให้คนพูดกันว่าแอลลี่ในช่วงยุค 2020 เป็นต้นมา เป็นแอลลี่ที่น่าจดจำ”

STUDY MODE: THE INFINITE LIFE LEARNING
แอลลี่ยอมรับว่า “ไม่ค่อยกดดันเรื่องเรียนเท่าไรค่ะ ไม่จำเป็นต้องได้เต็ม 100 ตลอดเวลา เมื่อมีพาร์ตที่เราเฟลมันก็ทำให้เราเรียนรู้ได้ อย่างวิชาคณิตศาสตร์เวลาสอบตกจะจำได้ขึ้นใจเลย หนูคิดว่าตอนนี้ก็ยังทำข้อที่ผิดได้ ให้มันมีขึ้นมีลงบ้างในชีวิต” จนตอนนี้ที่เธอจงใจเลือกเรียนด้าน Music Business เมื่อไหนๆ ก็ได้ร่วมหัวจมท้ายกับวงการเพลงเป็นหลักแล้ว (ไม่นับเรื่องงานแสดงที่เจ้าตัวก็รู้สึกสนุกไม่แพ้กัน) การเรียนให้กระจ่างในสายนี้ก็น่าจะส่งผลดีกับเธอไปได้ทั้งชีวิต “มันมีบางอย่างที่ยังไม่เข้าใจค่ะ” เธอให้เหตุผล “ยังสามารถทำความเข้าใจได้มากกว่านี้ เราเป็นศิลปินที่เวลาจะทำอะไร กำลังจะมีโปรเจ็กต์อะไร จะต้องคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ มาร์เก็ตติ้งจะต้องไปติดต่อนู่นนี่นั่น หนูเลยอยากเข้าใจว่าทุกคนกำลังทำอะไรอยู่ อยากรู้ว่าแล้วในส่วนอื่นของโลก อย่างในอเมริกาเนี่ย อุตสาหกรรมเขาเป็นอย่างไร คงจะแตกต่างกับที่ไทย ถ้าหนูเอารายละเอียดต่างๆ ของอุตสาหกรรมเขามาปรับใช้กับโปรเจ็กต์เรา ก็น่าจะมีอะไรใหม่ๆ”


แอลลี่เรียนทุกอย่างเกี่ยวกับวงการเพลง ไม่ว่าจะเป็น Artist Management ด้าน Finance เรื่อยไปจนถึง Neuroscience ที่ “เวลาเราฟังเพลงแต่ละเพลงมันช่วยให้สมองทำปฏิกิริยาอะไร” และ Ear Training ที่ “เขาจะมีเพลงมาให้เราฟัง ฟังให้เข้าใจว่าอันนี้เสียงเป็นแบบนี้ มันจะมีพวก harmony หรือไลน์ประสานเสียงในเพลง ให้เราเรียนรู้ว่าเราจะประสานเสียงอย่างไร” เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกอย่างจริงๆ ทว่าเมื่อเราถามถึงรายวิชาที่ชอบที่สุด สิ่งที่น่าแปลกใจคือกลับไม่ใช่ที่เกี่ยวกับดนตรีแต่กลับเป็นเรื่องของ ‘มาร์เก็ตติ้ง’ เพราะ “ เป็นสิ่งที่ทำให้หนูเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น ในแต่ละงานที่ได้รับมอบหมายมาทุกอย่างมันอยู่บนพื้นฐานของชีวิตเราค่ะ อย่างให้เราทำแปลนมาร์เก็ตติ้งสำหรับศิลปินคนหนึ่ง แล้วเราเลือกใครก็ได้บนโลกนี้เพื่อทำให้แปลนให้ หนูเลยเลือกตัวเอง เพราะเราจะได้เอามาใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย ซึ่งก็ได้ใช้อยู่เรื่อยๆ นะคะ ถ้าอย่างอันไหนที่รู้สึกว่าใช้ได้กับโปรเจ็กต์ที่กำลังจะทำ จะเอาไปเสนอค่ายเลย เราได้เรียนด้วย ได้ความคิดเห็นจากครูและเพื่อนที่อยู่ในคลาส”

PRIVATE LIFE MODE: A MATTER OF BALANCING
“เมื่อก่อนไม่รู้เลยว่าต้องแบ่งเวลาอย่างไรค่ะ ทำงานแบบวันต่อวัน ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ทำงานเสร็จกลับบ้าน ล่องลอยนิดหนึ่งเพราะว่ายังเด็ก ยังไม่เข้าใจด้วยว่าชีวิตเราเป็นแบบนี้ คงทำแบบนี้ไปแป๊บหนึ่งแหละ แล้วคงมีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น” แอลลี่สารภาพ “แต่พอทำมาเรื่อยๆ หนูไม่ได้เจอหน้าเพื่อนนานมาก จนมีหลายครั้งที่เขาไปเจอกันโดยไม่มีหนู ช่วงแรกเขาก็ชวนเราอยู่ แต่พอรู้ว่าหนูยุ่งเขาก็ไม่ชวนแล้ว หนูก็น้อยใจว่าทำไมไม่ชวน พอกลับมาคิดนั่นก็เพราะเราไม่เคยว่าง ไม่มีเวลาทำอะไรเลย” เมื่อทางเลือกสู่สายศิลปินส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไปคนหนึ่ง เกิดเป็นวิบากชีวิตที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น “ช่วงที่เพิ่งเดบิวต์เราไม่รู้ว่าเราออกไปข้างนอกได้หรือเปล่า ถ้าออกไปข้างนอกแล้วคนเจอเรา จะเอาเราไปตัดสินหรือไม่ ช่วงเดบิวต์กลัวทุกอย่างเลยค่ะ ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากให้ใครจำหนูได้เลย ตอนนั้นมีความคาดหวังในตัวเองสูง เราจะต้องดูเป็นสิ่งที่ใกล้ความเพอร์เฟ็กต์ตลอดเวลา กลัวว่าเกิดมีโมเมนต์ไหนที่เราไม่เป๊ะ คนจะแอบถ่ายรูปเราแล้วเอาไปโพสต์ไหม พอตอนนี้คิดได้ว่าท้ายที่สุดแล้วเราก็คือคน ใครถ่ายรูปตอนเราหลับตา อ้าปาก มันก็คือปกติ หลังจากคิดได้ก็เริ่มชิลกับตัวเองมากขึ้น เพื่อนหนูเรียนที่อเมริกากัน ช่วงไหนที่อยู่ก็จะพยายามไปเจอให้ได้มากที่สุด รู้สึกว่าการแฮงก์เอาต์กับเพื่อนทำให้หนูคงความรู้สึกเป็นเด็กอยู่ คือตอนนี้หนูว่าหนูโต พออยู่กับเพื่อนมันยังคงความเป็นวัยรุ่นของเราได้อยู่”


นอกจากการพยายามหาโอกาสมาพบปะเพื่อนฝูงเพื่อได้ “คุยแลกเปลี่ยนในฐานะที่เราเรียนคนละอย่างกัน ทำอาชีพต่างกัน เราก็ได้เรียนรู้คนอื่นด้วย” เมื่อวกกลับมาสู่โลกส่วนตัวเพียงลำพัง แอลลี่ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์กลางคืนที่เราแอบสงสัยว่าเอาเวลาไหนไปพักผ่อน นั่นเพราะช่วงเวลาที่ได้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดคือเวลา 4 ทุ่มยันตี 4! เธออธิบายว่า “เป็นช่วงที่ productive มากที่สุด สมองโลดแล่นมากที่สุด แอลลี่จะดูหนัง ดูซีรี่ส์ เล่นเกม คุยกับเพื่อน ช็อปปิ้งออนไลน์ ดู Tiktok ดู Instagram” ทั้งนี้ เธอยังไม่วายใช้เวลาขีดเขียนบนไอแพดเพื่อตระเตรียมงานลงโซเชียลมีเดียของคุณลูกค้าที่เคารพรักต่างๆ

24/7 ของคนเราไม่เท่ากัน แอลลี่ในวัยล่วง 20 ยังคงมีอนาคตอันสดใสและยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังในทุกชั่วโมง ทุกคืนวัน “ไม่เคยมองว่าจุดนี้คือจุดอิ่มตัวแล้ว” เธอกล่าวด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “ในอนาคตอีก 5 หรือ 10 ปี จะเป็นแอลลี่ที่ว้าว กว่านี้ได้ อยากให้ร่างอนาคตเป็นคนขอบคุณเราในตอนนี้ที่ทำงานหนักจนทำให้เป็นคนในอนาคตนั้นได้”

Photographer : Pathomporn Phuekphud
Fashion Editor : Preuksapak Chorsakul
Interviewer : Rachata Ratanavirotkul
Text : Wanusk Khongrasee
Makeup : Kwankhao Sumalee
Hair : Ruttasak Wiriyayutama
Assistant Photographer : Piwawat Jarunpong, Panpetch Petchphloy, Tanyawat Saetiao
Assistant Stylist : Matharipoln Monthanatunret, Kanokphit Janit, Chonlatee Lertautsaha PRODUCER: Kanokphit Janit
Clothes : Chanel, Vivienne Westwood, Coperni, PH5, Maje, Aerie