2008-2023 ระยะเวลา 15 ปีที่พลพัฒน์ อัศวะประภา นำพา Asava แลนดิ้งสู่โลก แทรกซึมสู่ชีวิตผู้คนมากไปกว่าเครื่องแต่งกายที่ใช้ใส่ แต่เป็นอาภรณ์สวมความคิด และพาหนะล่องจากฝันกลับสู่ความจริงแท้

แอลกลับมาเยือนสำนักงานใหญ่ของ Asavagroup บนถนนสุขุมวิทอีกครา เพื่อจะตระหนักว่าพื้นที่ในอาคารสีขาวหลังนี้ไม่อาจบรรจุความเป็น Asava ไว้ได้หมด เมื่อสิ่งมีชีวิต หรือมอนสเตอร์ตัวนี้แตกร่างแบ่งจิตวิญญาณไปเป็นความเยาว์วัย (Asv) ความเรียบโก้ (Asava) อัตลักษณ์ประจำองค์กร (Uniform by Asava) ความเป็นมาสคิวลีน (MOO) ความรัก (White Asava) ไปจนถึงอาหารอิ่มท้องและอิ่มตา (Sava Dining) Asava Monster วัย 15 ปีที่มีชีวิตของมันเองจะเติบโตไปเป็นอะไรอื่นอีกมิอาจรู้ได้ แม้แต่ผู้สร้างและหล่อเลี้ยงมันด้วยกิเลส ตัณหา และความรู้สึกแปลกแยกเป็นอื่นของพลพัฒน์ อัศวะประภา


ELLE: ในไอจี @polpatasava ส่อแววว่า 2023 คือปีที่ Asava น่าจะงานยุ่งที่สุด จนคุณถึงขั้นเขียนว่าสงสารลูกน้อง ผิดที่ดาวเองที่แรงเยอะไป
ASAVA: จริง เรามีโปรเจ็กต์ที่ดองไว้อีกเยอะมาก (ก. ไก่ล้านตัว) แต่ต้องค่อยๆปล่อย กลัวโดนลูกน้องลอบสังหาร ทำไมนายไม่หยุดเสียที (หัวเราะ) เราหยุดไม่ได้ มันคือความท้าทายของ Asava โปรเจ็กต์ที่เตรียมไว้ซึ่งจะออกมาในปีนี้แน่ๆคือ Asava x Jim Thompson, MOO MOO x Good Goods เราใช้ผ้าจากแถบอีสาน อุบล อุดร สกลนคร หนองบัวลำภู ตอนเดือน 9 มีแฟชั่นโชว์ Asv เดือน 10 มีแฟชั่นโชว์ MOO เดือน 11 มีแฟชั่นโชว์ใหญ่วันที่ 11 ฉลองครบรอบ 15 ปี Asava ด้วยลุคใหม่ทั้งหมด 44 ลุค และมีนิทรรศการของแบรนด์

ELLE: ซึ่งจะไม่ธรรมดาแบบไล่เรียงตั้งแต่ปีที่ 1 ถึงปีที่ 15 ของ Asava แน่นอน
ASAVA: ถูก เราไม่ได้ทำเป็น Retrospective แน่นอนว่าที่ผ่านมา เราพูดกับลูกค้าของแบรนด์ แต่ถ้าอยากจะขยายขอบเขตเติบโตออกไป เราต้องพูดกับคนเจนใหม่ๆด้วย ดังนั้นการให้เขามาดูเสื้อผ้าเก่าๆ มันไม่น่าสนใจ เลยไปเชิญศิลปิน ภัณฑารักษ์และนักวิชาการคนหนึ่งมาและเล่าให้ฟังว่าแบรนด์ Asava กำเนิดขึ้นด้วยอะไรบ้าง จนเกิดเป็น ‘Monster Asava’ ที่มาจากความรู้สึกว่าเราไม่ใช่ In Crowd เราเป็น Out Crowd บวกกับกิเลส ตัณหา ความไม่เข้าพวกที่หล่อเลี้ยงจนเกิดเป็น Monster นี้ขึ้นมา จนในที่สุดมันมีชีวิตของมัน เราอยากจะเล่าเรื่องนี้ว่า เสื้อผ้าคืออะไร มาจากไหน และเรากำลังจะไปที่ไหน ซึ่งจะขมวดปมตอนจบว่า เราเชื่อว่าเสื้อผ้าคืออะไรในชีวิตของคนคนหนึ่ง
ELLE: ถ้าทำคอลเล็กชั่น 4 ครั้งต่อไป ไปแฟชั่นวีก จบ ถ้าให้คุณทำงานแบบนี้ไปจะสนุกไหม
ASAVA: คงไม่เบื่อ มันคือสิ่งที่เราชอบ แต่เรารู้สึกว่าเราทำอะไรได้อีกเยอะ คนอาจบอกว่าเห็นเราบ่อย เพราะเราแทรกซึมไปในหลายสิ่งอย่างนอกเหนือไปจากเสื้อผ้า เราพยายามสื่อสารกับคนที่มีพลังอยู่ในตัว จูนกันและสร้างชุมชนต่อยอดออกไป งานอื่นๆที่เราทำจะมีพื้นฐานจากสิ่งนี้แหละ ไม่ว่าจะพูดคุยกับนักศึกษา ชาวบ้าน ชุมชนต่างๆ เพื่อนำวิธีคิดแบบนี้ไปปรับจูนกันเพื่อสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างที่มีประโยชน์ หรืออาจจะไร้สาระก็ได้ แต่มีสุนทรียภาพ


ELLE: ตอนครบรอบ 10 ปี คุณให้เป็นเอก รัตนเรืองทำหนัง พอครบรอบ 15 ปี คุณทำนิทรรศการศิลปะ ไม่จำเป็นว่าแบรนด์แฟชั่นต้องทำแต่แฟชั่น
ASAVA: มันคือคำว่า ‘ซอฟต์เพาเวอร์’ ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นมาด้วยซ้ำ ณ ตอนนั้น แต่เราเชื่อของเรามานานแล้วว่าเราพาวิธีคิดแทรกซึมเข้าไปในชีวิตคนได้ ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า เราว่าวิธีคิดสำคัญกว่า ถ้าเขาคิดหรือเชื่อเหมือนเรา เดี๋ยวเขากลับมาซื้อเสื้อผ้าเรา หรือบริโภคผลงานใดผลงานหนึ่งของเราเองในอนาคต ฉะนั้นหลังจากปีที่ 5 เรามักจะพูดเรื่องแฟชั่นในแนวดิ่ง ไม่ใช่แนวระนาบ พูดถึงตัวตน จิตวิญญาณ ความจริงแท้ของผู้หญิง สิ่งที่เป็นนามธรรม คนก็จะ…พูดอะไรของเธอ
เราคิดว่าโลกกลับตาลปัตร หน้าที่ของศิลปินเมื่อก่อนคือสอนให้คนฝัน แต่ ณ เวลานี้ศิลปินต้องบอกให้คนยึดโยงกับความเป็นจริง ทำอย่างไรให้พื้นแตะเท้าและมีความสุข เราชอบศึกษาประวัติศาสตร์ของมนุษย์เพื่อมองหาแพทเทิร์นของการเปลี่ยนแปลง และได้เห็นว่าศิลปินแต่ก่อนฝันฟุ้งมาก เดี๋ยวนี้หรือ รูปหนึ่งแต่งเติมใส่โฟโต้ช็อปกันจนไม่เหลือความจริง ไม่รู้เลยว่านี่คือรูปคนหรือรูปเอไอ

ELLE: พอเป็นพื้นที่ศิลปะ นิทรรศการ 15 ปี Asava จะเป็นงานปล่อยของที่จะได้เห็น Asava ในรูปแบบที่ไม่เคยเห็นหรือเปล่า
ASAVA: จริงๆแล้วที่ผ่านมา เราไม่ได้ทำงานทางความคิดมากเท่าที่อยากจะทำนะ เราอยากทำให้คอนเซ็ปชวลมากกว่านี้ แต่ทำในเมืองไทยคงเจ๊ง (ยิ้ม) มีบางชุดในโปรเจ็กต์ 15 ปีที่ลูกน้องถามว่าใครจะใส่ เราบอกเราไม่สน มีบางโอกาสที่เราอยากทำเพื่อขยายตัวตนและบอกว่าเราเป็นใคร งานครบรอบ 15 ปี Asava เราไม่ได้ทำเพื่อแก้ pain point ของใคร แต่เป็นการแสวงหา ชักชวน บอกเล่าเรื่องราว จุดชนวนความคิดว่าถ้าเราไม่ต้องคอมเมอร์เชียลมาก เราเป็นแบบนี้นะ มีใครบ้างที่อยากไปพร้อมกับเรา เดี๋ยวเรามาร่วมทางกัน
การที่เราจะอยู่ในสังคมที่มีการสื่อสารต่อกันได้ เราต้องหาทางทำอย่างไรก็ได้ให้เกิดเป็นบทสนทนาที่เราและเขาอยากจะพูดคุยกัน คุยกันได้ไม่เบื่อและลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการที่เราจะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเรารับฟังเสียงรอบข้างบ้าง ซึ่งบางครั้งก็มาช่วยขัดเกลาเรา มันคือธรรมชาติของการเติบโตของทุกสิ่งนั่นเอง


AOKBAB: 15 ปีที่ผ่านมาของ Asava ให้อะไรบ้างกับคุณ
Asava: วันก่อนเรายังบอกพี่เลยว่า เราตายตอนไหนก็ได้ ชีวิตมันเกินคุ้มแล้ว แต่ไม่ได้มองว่าตัวเองยิ่งใหญ่อะไร ไม่เคยคิดเช่นนั้น แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เราจะไม่อยู่อย่างเหี่ยวแห้ง เราจะเป็นมนุษย์ที่ขวนขวาย พูดง่ายๆว่าเราเป็นคนบ้า
เมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่ามีอะไรบนไหล่เราเยอะ เหมือนมีผีนั่งเกาะไหล่ แต่มาวันนี้รู้สึกว่าเบาลงไปเยอะ โดยที่ผีไม่ได้หายไป แต่เรารู้วิธีที่จะอยู่กับผีได้ ผีในที่นี้คือภาระ คือความคอมเมอร์เชียล คือหลายสิ่งที่เราไม่อยากทำแต่ต้องทำเพื่อให้ฟันเฟืองทางธุรกิจหมุนต่อไปได้ พอเราอยู่กับมันได้ ก็มีความสุขดี


AOKBAB: คุณเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่โด่งดังเป็นเซเลบริตี้ จัดการอย่างไรกับสิ่งเย้ายวนที่ถ้าทำแล้ว คุณจะดังมากเลยนะ แต่อาจเป็นกระแสชั่ววูบ ไม่ได้ยั่งยืนอยู่มา 15 ปีแบบนี้ได้
ASAVA: เราโดน disrupt ด้วยตัวเราเองตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน เราตะกละ ลืมตัวเองว่าเราคือใคร มองไปแต่ข้างหน้าว่าอยากไปตรงนั้น โดยไม่ได้คิดเลยว่าเราไม่มีสกิลที่จะทำ มันก็ล้มไม่เป็นท่า ต้องใช้คำว่าเกือบจะฉิบหายเลยละ เราเลยสอนตัวเองว่ากิเลสบางตัวอาจไม่เหมาะกับเรา มันอาจทำให้เรานอนไม่หลับ ขยะแขยงตัวเองว่าทำลงไปได้ยังไง และมันจะหลอกหลอนคุณไปทั้งชีวิต แต่การจะไปถึงจุดที่ไม่ต้องทำสิ่งนั้นได้ ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร
ตอนทำงาน 15 ปีนี่แหละ มีภาพลุกบุ๊กบางรูปที่โผล่ขึ้นมาแล้วเราร้องว้าย! ตัดออกๆ เรามียุคเช่นนั้น (หัวเราะ) แต่ถ้าเราไม่เจอคงไม่รู้ว่าควรไปทางไหน จะว่าไปเราโดน disrupt ทุกวัน มันมาทุกปี ทุกช่วงเวลา อยู่ที่เราจะรับมืออย่างไร หนึ่ง เราต้องเป็นนักแก้ปัญหา สอง เราต้องเป็นนักบริหารจัดการความคาดหวัง สาม เราต้องเป็นนักมองโลกในแง่บวก และสี่ สรุปว่าพอแล้วจะดี
แต่ในความพอดีเราก็ตะกละ เพียงแต่เป็นความตะกละในทางความคิด เราบอกทุกคนเป็นมุกตลกนะว่า ถ้ามีอิเกียได้ก็ต้องมีอิหมูได้ (หัวเราะ) เรามีวิธีคิดประหลาดๆ ว่าทุก 3 หรือ 5 ปี เราต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตหรือความคิดของตัวเอง เราจะไปในเส้นทางเดิมๆไปเรื่อยๆไม่ได้ ต้องหาอะไรประหลาดทำ ชอบให้ชะตาตัวเองกระตุก แล้วมันจะสนุก เกิดเอนเนอร์จี้ใหม่ๆ เราไม่ได้ชอบให้ทุกอย่างลงล็อกคล้องจองไปเสียหมด

ELLE: โชว์ใหญ่ครบรอบ 15 ปี Asava คุณคาดหวังรอคอยจะได้เห็นอะไรมากที่สุด
ASAVA: (เดินพาไปที่ราวแขวนเสื้อผ้า) มีวันหนึ่ง ฝรั่งเดินผ่านหน้าร้าน แล้วถามน้องหน้าร้านว่า Asava เขาเคยอยู่นิวยอร์กใช่ไหม แล้วก็เดินมาหยิบเสื้อ พลิกดูป้าย อ่านบาร์โค้ดแล้วอมยิ้ม จากนั้นก็ขอกระดาษมาเขียนถึงเราว่า ‘Dear Paul, ฉันเห็นเสื้อ ยังไม่ได้ดูป้าย แต่ฉันเห็นว่าเสื้อมีกลิ่นอายของ Max Mara ก็เลยหยิบมาดู ถึงรู้ว่านี่เป็นเสื้อของเธอ เธอเรียนรู้มาเยอะนะ ทำตามทุกอย่างที่ฉันเคยสอนที่ Max Mara’ แล้วฝากโน้ตนั้นมาให้เรา ปรากฏว่าเขาเป็นเจ้านายเก่าสมัยที่เราทำงานอยู่ Max Mara ที่นิวยอร์ก ตอนนี้เขาเสียไปแล้ว แต่ทีม Max Mara ที่เคยทำงานกับเราจะบินมาดูโชว์ฉลอง 15 ปีในวันที่ 11.11 นี้ด้วย นี่คือวิถีของเราที่จะหยั่งรากลึกและงอกเงยไปกับผู้คนที่สำคัญกับเรา”

MORE THAN A DECADE: ASAVA & AOKBAB
เกินครึ่งชีวิตของออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง รับบทนางแบบที่หยั่งรากลึกไปกับ Asava ระดับที่พลพัฒน์ อัศวะประภาบอกว่า ในการทำ(บาง)คอลเล็กชั่น ถ้าออกแบบไม่ว่าง ก็ไม่ต้องมีมิวส์กันไปข้าง
AOKBAB: ออกแบบเจอพี่หมูครั้งแรกตอนอยู่มัธยมปลาย เริ่มมากับแบรนด์ Asv ทั้งถ่ายแบบ เดินแบบให้ จนมาถึง Asava
ASAVA: เราชอบผู้หญิงหน้าตามีคาแร็กเตอร์ ไม่ได้เป็นพิมพ์นิยม และออกแบบเติบโตขึ้นในทางที่สอดคล้องไปกับแบรนด์เราก็เลยไม่เคยห่างหายกันไป และออกแบบรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ มันก็คือ Authenticity ซึ่งเป็นหนึ่งในดีเอ็นเอของแบรนด์เรา
AOKBAB: เวลาต้องออกงาน เรื่องเสื้อผ้าที่จะใส่สำคัญมาก แบรนด์ที่เรามองหาต้องสอดคล้องไปกับสิ่งที่เราอยากจะสื่อออกมา พอเรารู้ธีมงานก็จะรู้เลยว่า งานนี้ต้องเป็นชุดของ Asv เท่านั้น ก็จะมาปรึกษาพี่หมูตลอด
ASAVA: เราไม่เคยคิดว่าออกแบบต้องใส่แบรนด์เราเท่านั้น แต่ออกแบบจะนึกถึงเราเมื่อโอกาสมันใช่กับแบรนด์ เป็นความสัมพันธ์กันแบบนี้มาตลอด เหมือนกับผู้หญิงหลายๆคนที่ Asava ทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้อง ศิลปินที่จะเป็นสายสัมพันธ์กันยาวนาน อย่างตอนจัดงานครบ 10 ปี ออกแบบไม่ว่าง เราก็ไม่รู้จะเลือกใคร คนที่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ พอไม่ใช่ก็ไม่ต้องมีดีกว่า นี่คือความจริง เพราะภาพในใจเราคือออกแบบ เรานึกถึงออกแบบตลอด ขึ้นอยู่กับว่าคิวจะว่างตรงกันหรือเปล่า


AOKBAB: มีครั้งหนึ่งที่ออกแบบเดินปิดโชว์ให้พี่หมูในแอลแฟชั่นวีก ตอนนั้นคิวงานวุ่นมาก บินไปทำงานที่จีนเยอะ แต่ดีใจมากที่ได้บินกลับมาทำงานกับพี่หมู ภาพบนรันเวย์ยังจำได้ชัดเจนว่าออกแบบใส่เคป จนตอนนี้เคปเยอะมากไปหมด พี่หมูทำเคปเป็นคนแรกๆเลย นั่นคือโมเมนต์ที่ตราตรึงมากสำหรับเรา
ASAVA: จะว่าไปออกแบบใส่ชุดของ Asavagroup มาแล้วทุกแบรนด์นะ เหลือแต่ White Asava นี่ละที่ยังไม่เคยใส่
AOKBAB: เราได้ร่วมเดินทางกับ Asava มาเกิน 10 ปี เห็นความแข็งแกร่งของผู้หญิงคนนี้ที่มากขึ้นในทุกๆปี ยิ่งปีนี้ครบ 15 ปี เขาไม่ได้Pมาเล่นๆ เราอยากเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆกับแบรนด์ไปอีกนานๆ จนกระทั่งวันที่ได้ใส่ชุดแต่งงานของ White Asava!

Text: Suphakdipa Poolsap
Photographer: Pathomporn Phuekphud
Stylist: JSMITH
Assistant Photographer : Kwanchai Julwaraporn, Napat Lahpetch, Kachapon Panuditeekun