ก้าวเข้าสู่เดือนมิถุนายนที่นอกจากจะบ่งบอกว่าเราเดินทางมาจนถึงครึ่งปีแล้ว ยังเป็นเดือนแห่งความภาคภูมิใจในทุกความหลากหลายอย่างเท่าเทียมหรือที่ถูกเรียกชื่อว่า Pride Month อีกต่างหาก หลากหลายประเด็นของคอมมูนิตี้ LGBTQ+ จึงถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนอ หนึ่งในนั้นคือผ่านสื่อที่ผู้คนในทุกยุคทุกสมัยนิยมเสพกันอย่างภาพยนตร์และซีรี่ส์ วันนี้แอลจึงขอร้อยบทต่างๆ บนหน้าประวัติศาสตร์ของ LGBTQ+ ที่ถูกนำเสนอให้ผู้ชมผ่านโลกภาพยนตร์และซีรี่ส์ เพราะเพศวิถีไม่ใช่เพียงวัตถุดิบชั้นดีในการทำหนัง แต่ยังบรรจุเรื่องราวการต่อสู้ของเหล่าผู้คนในชุมชน
We Existed. Even Before.
เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์หน้าสำคัญแล้ว หลายคนอาจยกให้จุดเริ่มเหตุการณ์จราจลที่โรงแรม The Stonewall Inn การเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผู้คนหันมาสนใจกลุ่ม LGBTQ+ มากยิ่งขึ้น แต่หากย้อนถอยหลังกลับไปเสียหน่อย แล้วเหล่าผู้คนในคอมมูนิตี้นี้ไปอยู่ที่ไหนกัน? แน่นอนว่า พวกเขามีอยู่จริง และภาพยนตร์เรื่องแรกที่ควรพูดถึงจึงเป็นเรื่อง Victim ภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ที่มีการกล่าวถึงประเด็น ‘คนรักเพศเดียวกัน’ ในยุคที่เพศทางเลือกยังไม่ถูกกฎหมาย ถ่ายทอดเรื่องราวของ Melville Farr ทนายหนุ่มผู้ชีวิตแลดูจะเพียบพร้อมเสียทุกอย่าง เขาสานสัมพันธ์ลับๆ กับคนรักเพศเดียวกันอย่าง Jack Barrett ผู้เป็นกรรมกร ก่อนที่ Jack จะถูกแบล็กเมล์และไล่ต้อนจนมุมจนทำให้ตัดสินใจพลิกผันและจบชีวิตลงในท้ายที่สุด เป็นจุดเริ่มต้นให้ Melville ออกมาค้นหาความจริงเบื้องหลังการคุกคามและความไม่เป็นธรรมที่กลุ่ม LGBTQ+ ต้องเผชิญ แม้มันจะทำให้ความลับที่ปกปิดไว้ของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยก็ตาม ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สะท้อนการมีตัวตนของชุมชนนี้ ที่แม้ซุกซ่อนตัวในเงามืด ก็ยังถูกกระทำอย่างไม่ปราณีได้อย่างดี

ขณะเดียวกัน เรื่องราวของคู่สมรสเพศเดียวกันคู่แรกของโลกอย่างสองสาว Elisa และ Marcela ที่ทั้งคู่จัดฉากตบตาบาทหลวงโดยให้ Elisa ปลอมตัวเป็น Mario และแต่งงานอยู่กินกันฉันสามีภรรยาจนกระทั่งความลับรั่วไหล ถูกจับได้จนต้องดั้นด้นอพยพหนีไป กลายเป็นที่มาของเรื่องอื้อฉาว ‘A Wedding Without A Groom’ ก็ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลสู่ภาพยนตร์เรื่อง Elisa & Marcela เช่นเดียวกับฝั่งไทยที่มีเรื่องราว ‘วิวาห์ลักเพศ’ ของนางช้อยและนางถม คู่รักเพศเดียวกันในประเทศไทยที่ตกลงปลงใจอยู่กันกันเป็นครอบครัว ก่อนจะเกิดโศกนาฎกรรมเมื่อช้อยโดนยิงต่อหน้าถม สะท้อนความรุนแรงที่กลุ่ม LGBTQ+ ต้องเผชิญแม้ก่อนกาล และถูกนำเสนอในซีรี่ส์ หอมกลิ่นความรัก แม้กระทั่งในภาพยนตร์ Handmaiden เองก็ยังนำเสนอภาพของหญิงรักหญิงที่ดอกรักของเธอนั้นผลิบานงอกงามท่ามกลางเผชิญกับอุปสรรคทั้งด้านเพศ ชนชั้น และวัฒนธรรม



The Fights for Rights
เท้าความถึงเหตุการณ์ Stonewall Riots กันอีกเสียหน่อย ย้อนกลับไปในช่วงปี 1969 เมื่อครั้งที่สังคมยังไม่ยอมรับเพศทางเลือก โรงแรม The Stonewall Inn ได้ผันตัวมาสู่ ‘บาร์ลับ’ จุดนัดพบสำหรับคนรักเพศเดียวกันจึงกลายมาเป็นแหล่งกบดานของทั้งเหล่าวัยรุ่นที่ถูกครอบครัวไล่ตะเพิดออกจากบ้าน ไปจนถึงผู้ที่ถูกกีดกันทางสังคมเพราะเพศวิถี จนกระทั่งวันหนึ่งมีตำรวจบุกเข้ามาจับกุมและละเมิดสิทธิ์ซ้ำไปมา จนผู้คนในชุมชนทนไม่ไหว ลุกฮือขึ้นมาสู้ เกิดการปะทะกันอย่างดุเดือด เมื่อเห็นได้ชัดว่า ‘การอาศัยอยู่ภายใต้ความเงียบ ไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยอีกต่อไป‘ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ Pride Parade ซึ่งถูกจัดขึ้นในปีต่อมา 1970 เรื่อยมาจนถึงตอนนี้


การต่อสู้ในเหตุการณ์ The Stonewall Inn กลายมาเป็นหมุดหมายแรกที่ก่อให้เกิดกลุ่มเคลื่อนไหว LGBTQ+ มากมายทั่วโลก ดังเช่นในซีรี่ส์เรื่อง Pose ซีรี่ส์ที่ขึ้นชื่อว่ามีนักแสดงทรานสเจนเดอร์มากที่สุดในโทรทัศน์ของสหรัฐอเมริกา นำเสนอเรื่องราวในคอมมูนิตี้ LGBTQ+ โดยเฉพาะทรานส์ ชาวผิวสีและละติน ในโลกใต้ดินอย่าง Ballroom ณ นิวยอร์ก ที่เต็มไปด้วยแฟชั่น แสงสี และการแข่งขันเต้น สรรเสริญแด่อัตลักษณ์ของตน ทั้งยังเป็นแหล่งพักพิงทางจิตใจไม่ต่างจากใจอดีต แม้เรื่องราวในซีรี่ส์เรื่องนี้จะเกิดขึ้นในช่วงปี 1980s-1990s แต่ก็ถือว่าส่งต่ออุดมการณ์ ‘ความเงียบไม่ใช่คำตอบ’ ได้อย่างไร้ที่ติ นำเสนอทั้งประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเพศ ชนชั้น และเชื้อชาติ รวมไปถึงภัยร้ายจากวิกฤต HIV ที่คร่าชีวิตผู้คนในชุมชนมากมาย แต่ยังถูกภาครัฐละเลยด้วยความที่พวกเขาเป็นเพศทางเลือก นำมาสู่การเคลื่อนไหวของกลุ่ม ACT UP หรือองค์กรเรียกร้องสิทธิผู้ติดเชื้อ HIV สะท้อนการต่อสู้เพื่อสิทธิ์ที่ตนควรได้รับ ซึ่งมีอยู่เรื่อยมาบนหน้าประวัติศาสตร์ LGBTQ+
The First Transgender
เมื่อกล่าวถึงทรานสเจนเดอร์ไปแล้ว จะไม่พูดถึงภาพยนตร์เรื่อง The Danish Girl ก็คงไม่ได้ เพราะหนังเรื่องนี้ได้หยิบชีวิตจริงของ Lili Elbe หญิงข้ามเพศคนแรกของโลกที่เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศในปี 1920s มาเป็นแรงบันดาลใจ โดยพาไปร่วมตามติดชีวิตของ Einar Wegener จิตรกรหนุ่มผู้ภายหลังค้นพบตัวตนว่าเป็นผู้หญิง และใช้ชื่อ Lili Elbe ในเวลาต่อมา ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดแปลงเพศ ซึ่งไม่ว่าจะทางการแพทย์ สังคม หรือศาสนาก็ยังไม่ได้รับการยอมรับในขณะนั้น กลายมาเป็นสิ่งที่เขาต้องแลกเพื่อใช้ชีวิตได้ดังที่ฝันใฝ่ และตอกย้ำว่าเพศวิถีนั้นไม่เพียงถูกกำหนดด้วยร่างกาย หากแต่เป็นความรู้สึกภายใน ดังเช่นที่ Einar ไม่ได้กลายมาเป็น Lili แต่เขาเป็นเธอเสมอมา เพียงแต่รอวันที่สังคมจะยอมรับเท่านั้นเอง

The Oscars Winner
นับตั้งแต่ Victim ในปี 1961 เรื่องราวของ LGBTQ+ ก็ได้ปรากฏบนโลกภาพยนตร์อยู่เรื่อยมา ไม่ว่าจะในยุคสมัยที่สื่อนำเสนอประเด็นเรื่องเพศยังไม่ถูกกฎหมาย จนมาสู่วันที่ได้เฉิดฉายในฐานะ ‘ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม’ บนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ เมื่อปี 2017 และนั่นคือภาพยนตร์เรื่อง Moonlight ภาพยนตร์ LGBTQ+ เรื่องแรกที่คว้ารางวัลสูงสุดนี้ และยังเป็นเรื่องแรกที่มีนักแสดงผิวดำทั้งหมดที่ได้รางวัลนี้อีกด้วย
Moonlight พาเราไปสำรวจชีวิตของชายผิวดำที่ชื่อ Chiron ผ่าน 3 ช่วงวัยของเขา นับตั้งแต่เด็กที่เติบโตในชุมชนแสนประบางท่ามกลางยาเสพติด การถูกบูลลี่และสับสนเรื่องอัตลักษณ์ มาสู่การเป็นวัยรุ่นที่เริ่มต้นพบตัวตนและเพศวิถี ร่วมกับเพื่อนชายที่ชื่อว่า Kevin ก่อนถูกอีกฝ่ายหักหลังเพื่อพิสูจน์ ‘ความเป็นชาย’ ซึ่งกลายเป็นอาวุธสำคัญที่ถูกสังคมทำให้เชื่อว่าพึงต้องมี ไปจนถึงช่วงวัยแห่งการเป็นผู้ใหญ่ที่ชีวิตเขาวนกลับมาสู่วังวนยาเสพติดเสียเอง และโคจรกลับมาพบ Kevin อีกครั้ง นับเป็นการนำเสนอเรื่องราวของผู้อยู่ชายขอบ ทั้งในแง่เพศ และเชื้อชาติ ตลอดจนตั้งคำถามถึงประเด็นชายเป็นใหญ่และความเปราะบางได้อย่างดีอีกด้วย

Love Finally Wins. But It Just Begins.
‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ที่เปลี่ยนจากการสมรสระหว่าง ‘ชายกับหญิง’ สู่ ‘บุคคลกับบุคคล’ ถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของการเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมทั่วทุกมุมโลก แต่การได้มาซึ่งสมทบเท่าเทียม ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการต่อสู้แล้วหรือไม่? เห็นได้อย่างถ่องแท้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

สำหรับทวีปเอเชีย สองที่แรกที่กฏหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้คือ ไต้หวันที่นำร่องก่อนใครในปี 2019 และตามมาด้วยประเทศไทยซึ่งเพิ่งสำเร็จไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อต้นปี 2025 ที่ผ่านมา ช่างเป็นเรื่องที่เหมาะเจาะเป็นอย่างยิ่งเมื่อไต้หวันได้ปล่อยภาพยนตร์ Marry My Dead Body หรือ แต่งงานกับผี และประสบความสำเร็จอย่างงดงามในปี 2022 จนถูกนำมารีเมกใหม่เป็นเวอร์ชั่นไทยด้วยชื่อ ซองแดงแต่งผี ในปีนี้ ด้วยบริบทสังคมที่คล้ายคลึงกัน นำเสนอเรื่องราวเมื่อเพศไม่ใช่ข้อขัดแย้งหลักในการแต่งงานอีกต่อไป เราจึงเห็นตัวละครชายแท้และเกย์แต่งงานกันได้อย่างเสรี โดยมีเพียงความเป็นและความตายเท่านั้นที่เป็นเส้นบางๆ คั่นกลางระหว่างพวกเขา ขณะเดียวกัน สิ่งที่ตัวละครเผชิญก็ยังสะท้อนได้เห็นอย่างดีว่า แม้ในวันที่เรามีสมรสเท่าเทียมอยู่ในมือแล้ว แต่สังคมบางส่วนเองก็ยังคงมีอคติต่อกลุ่ม LGBTQ+ การปฏิบัติอย่างไม่เทียบเท่ายังคงมีอยู่ และความเหลื่อมล้ำยังแฝงอยู่ทุกหย่อมหญ้า เพราะฉะนั้นแล้ว นี่จึงถือเป็นอีกบทเริ่มต้นบทหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์ LGBTQ+ เท่านั้น ดังที่เหมาเหมาและตี่ตี๋ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมุมมองของอู่หมิงฮั่นและเม่น สักวันหนึ่งผู้คนต่างก็อาจจะเริ่มหันมามองกันและกันอย่างเท่าเทียมโดยแท้จริงก็เป็นได้


