Monday, February 10, 2025

สำรวจ 5 ประเด็นหลัก เมื่อความรักชนะ และ ‘สมรสเท่าเทียม’ คือฝันที่กลายเป็นจริง

23 มกราคม 2568 อีกวันสำคัญที่ต้องจารึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย เมื่อ ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ได้ถูกบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เปลี่ยนจากการสมรสระหว่าง ‘ชายกับหญิง’ สู่ ‘บุคคลกับบุคคล’ จนกลายมาเป็นอีกหนึ่งมูฟเมนต์แห่งความเสมอภาคอันแสนยิ่งใหญ่ภายหลังจากการต่อสู้เพื่อให้ได้มาอย่างยาวนาน และเพื่อเฉลิมฉลองก้าวใหม่อันน่ายินดี และสดุดีแด่ทุกความพยายาม แอลจึงขอพาทุกคนมาสำรวจ 5 ประเด็นหลักในวันที่สมรสเท่าเทียมไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝันอีกต่อไป เพราะความรักนั้นเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ

A Long Fight Without Fear

ประเดิมการเฉลิมฉลองแด่ความเท่าเทียมที่เราได้รับนี้ ด้วยการพาทุกคนย้อนกลับยังไปจุดเริ่มต้นเมื่อ 23 ปีก่อน กับการเรียกร้องกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2544 ซึ่งแนวคิดสมรสเท่าเทียมได้ถูกริเริ่นขึ้นมา แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นก็ยังคงไม่เห็นด้วยและผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการต่อต้านอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ดี ใช่ว่าความคิดของสังคมจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะนับจากนั้นมาอีก 11 ปี ก็ได้มีคู่รักเพศเดียวกันคำร้องขอจดทะเบียสมรส ก่อนจะถูกปฏิเสธกลับมา แม้จะไม่สมหวัง แต่นั่นก็ได้กลายเป็นอีกมูฟเมนต์สำคัญที่นำมาสู่จุดเริ่มต้นของการเรียกร้องจนกลายมาเป็นร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตในปี 2556 แม้ในเนื้อความของกฏหมายยังไม่ได้ครอบคลุมถึงสิทธิและประโยชน์ต่างๆ ที่ควรจะได้รับ แต่ก็นับเป็นก้าวสำศัญในการเริ่มต้นขึ้น

Credit: Istock

และในปี 2564 หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า สิทธิในการสมรสจำกัดเฉพาะชายกับหญิงเท่านั้น ก็ได้ส่งผลให้ประชาชนกว่า 360,000 รายชื่อร่วมลงชื่อสนับสนุน รวมไปถึงจัดขบวนพาเหรดเพื่อแสดงพลัง จนท้ายที่สุดในวันที่ 24 กันยายน 2567 วันที่หลายคนรอคอย เมื่อมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาปรับแก้กฏหมายในการสมรส จาก ‘ชาย’กับ ‘หญิง’ สู่ ‘บุคคล‘ กับ ‘บุคคล‘ และมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วัน นั่นก็คือวันที่ 23 มกราคม 2568 นั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางอันยาวนานแต่ก็นำมาซึ่งความสำเร็จอันหอมหวานอย่างแท้จริง

The Rights We All Deserve

นอกจากสมรสเท่าเทียม ที่ทำให้ทุกคนสามารถจดทะเบียนสมรสได้แบบไม่มีขอบเขตของเพศกันทั่วทั้งประเทศ ผ่านสำนักงาน 878 อำเภอ และสำนักงานเขต 50 เขตทั่วกรุงเทพมหานครแล้ว กฏหมายเท่าเทียมยังเป็นมากกว่าเพียงการแต่งงานระหว่างบุคคลทั้งสอง หากแต่ยังครอบคลุมไปถึง 6 สิทธิตามกฎหมายที่พวกเขาและคู่สมรสคู่ควรที่จะได้รับอย่างเท่าเทียมด้วย โดยสิทธิดังกล่าวได้แก่ จดทะเบียน หมั้น รวมไปถึงหย่าร้างได้, ปกครองบุตรบุญธรรมร่วมกันได้, ให้การยินยอมต่อการรักษาพยาบาลและตัดสินใจให้คู่สมรสได้, รับมรดกจากคู่สมรสได้, จัดการสินสมรส ถือครองอสังหาฯ ร่วมกันได้ และ กู้ร่วมเพื่อซื้ออสังหาฯ ในฐานะคู่สมรสได้

ตามสิทธิที่กล่าวมาข้างต้นนี้สร้างความยินดีให้กับทุกคน หากแต่เราลองคิดดีๆ สิ่งเหล่านี้คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และถึงแม้จะเป็นก้าวสำคัญครั้งใหม่ของประเทศ แต่เราต้องสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม และไม่หยุดที่จะสร้างพื้นที่นี้ให้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีความเท่าเทียมอยู่จริงๆ เพราะแม้จะมีสิทธิที่ร่างกฏหมายใหม่ได้ออกมา แต่ยังมีอีกหลายคำถามที่รอคำตอบจากทุกภาคส่วนอยู่ว่า ก้าวต่อไปของประเทศไทยจะแก้ไขอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่?

Equal But Not The Same

จากที่ประเทศไทยได้เป็นประเทศแรกในอาเซียน และเป็นประเทศที่ 3 ของทวีปเอเชียที่ได้แก้ไขกฏหมายจากการสมรส ‘ชาย-หญิง’ สู่การสมรสที่มีเพียงคำว่าเป็นการสมรสระหว่างบุคคลเกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีหมุดหมายใหม่ที่ยังรอให้ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมอีกในอนาคตอีกมากมายเช่นกัน ถือเป็นความท้าทายครั้งต่อไปในการแก้กฏหมายเพิ่ม 

คำถามบางประเด็นยังคงคอยให้ได้รับการแก้ไขให้เกิดความเท่าเทียมในสังคมจริงๆ เช่น คำที่ถูกแบ่งแยกเพศถูกลบออกไปทั้งหมดแน่แล้วหรือยัง? คำที่ใช้จำกัดความบางคำในบางมาตรายังคงถูกตั้งคำถาม รวมไปถึง การได้สัญชาติตามคู่สมรส ตลอดจนการทำเด็กหลอดแก้ว และกฏหมายอุ้มบุญ ที่หลากหลายหน่วยงานกำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และไม่ว่าบุคคลไหนก็จะสามารถมีบุตรได้แบบที่ไม่แสวงหากำไรและเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ของคนสองคน

อย่างไรก็ดีพวกเรายังต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้กันต่อ เพราะยังมีอีกหลายก้าวสำคัญที่ยังรอการปลดล็อก แต่การเคลื่อนไหวและการสนับสนุนของคนในสังคมไทย ณ ตอนนี้ก็นับเป็นอีกหนึ่งแรงเล็กๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้

Through The Lens

ไม่เพียงการต่อสู้ด้วยข้อกฎหมาย แต่ชาวไทยเรายังยืนหยัดเพื่อให้ได้มาซึ่งกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ผ่านการแสดงออกในหลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงในสื่ออย่างภาพยนตร์และซีรีส์ที่หยิบยกประเด็น ‘สมรสเท่าเทียม’ มาเป็นแรงบันดาลใจและส่วนผสมหลักในการถ่ายทอดเรื่องราว ซึ่งสามารถยกตัวอย่างมาได้แบบนับไม่ถ้วนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงให้สังคมวงกว้างได้รับรู้ถึงโอกาสที่พลาดและสิทธิที่ขาดหายของคู่รักเพียงเพราะพวกเขาคบหาเพศเดียวกัน อย่างที่เห็นได้ชัดในภาพยนตร์ วิมานหนาม, ซีรีส์ พระจันทร์มันไก่ และ บทกวีของปีแสง

ภาพของการเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียมยังมีให้เราเห็นกันผ่านสื่อเสมอมาจนทำให้ประชาชนทั้งหลายต่างรับรู้ถึงจุดประสงค์ ความสำคัญของการต่อสู้ และไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต่างไกลอีกต่อไป ทั้งยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในกระตุ้นสังคมให้ตระหนักต่อประเด็นนี้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ฉากการประท้วงเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมในซีรีส์ Not Me เขา…ไม่ใช่ผม ที่ถูกนำเข้ามาใส่หลังจากที่พระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียมถูกปัดตก

จากภาพของผู้ได้รับผลกระทบ ภาพของการต่อสู้ มาสู่ภาพของความสำเร็จที่เราต่างรอคอย เมื่อการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป และการจดทะเบียนเป็นคู่สมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายกลายเป็นเรื่องที่ไม่เกินจริง ดังเช่นที่ซีรีส์ Good Old Days, Cherry Magic, Cutie Pie 2 You, Love Bully รักให้ร้าย และ ใจซ่อนรัก และอีกมากมายได้นำเสนอ

Safe Place for LGBTQ+

การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ ไม่เพียงเป็นข่าวดีที่ชาวไทยต่างตื่นเต้นและภาคภูมิใจกับการเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นประเทศที่สามในเอเชียรองจากไต้หวันและเนปาลเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทำให้สื่อใหญ่ๆ ระดับโลกต่างมามุงให้ความสนใจด้วยเช่น เพราะนี่เท่ากับแสงแห่งความหวังแก่ประเทศอื่นๆ ข้างเคียงให้ได้รับความเท่าเทียมนี้ตามมาอีกด้วย

เรียกได้ว่าเป็นการตอกย้ำถึงความเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัยของชาว LGBTQ+’ ของประเทศไทยในมุมมองจากต่างชาติไปอีกระดับ เพราะไม่เพียงสังคมที่เป็นมิตรต่อชาว LGBTQ+ และการนำเสนอหลากหลายเพศวิถีผ่านสื่ออย่างเป็นธรรมชาติเท่านั้น แต่ประเทศไทยเรายังได้พิสูจน์แล้วว่า ณ พื้นที่แห่งนี้ มีความรักในรูปแบบที่หลากหลาย และไม่ว่าจะเป็นเพศวิถีใดก็ล้วนได้รับการยอมรับทั้งสิ้น จนปรากฏแม้แต่ในสื่อต่างชาติ อาทิ ซีรีส์ Squid Game 2 ที่ตัวละคร ฮยอนจู มีเป้าหมายของการเข้าร่วมเกมเพื่อหาเงินไปศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศต่อที่ประเทศไทยและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียที “ฉันตั้งใจจะไปประเทศไทยค่ะ ฉันจะเล่นเกมอีกแค่รอบเดียวจริงๆ แล้วเอาเงินนั่นไปผ่าตัดต่อให้เสร็จที่ไทย ซื้อบ้านเล็กๆ สักหลัง แล้วลองใช้ชีวิตที่นั่นดูค่ะ“ และ Love in the Big City เรื่องราวของคู่รักเกย์ที่มีฉากหลังเป็นประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมีซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง Smells Like Green Spirit ที่นำแสดงโดย Araki Towa และ Sono Shunta ถ่ายทอดชีวิตของสองนักเรียนหนุ่มผู้ปรารถนาจะใช้ชีวิตในแบบของตนท่ามกลางสังคมที่ไม่เปิดกว้างทางเพศ ก็ได้เอ่ยถึงประเทศไทยด้วยประโยคชวนซึ้งใจให้อินตามว่า “ประเทศใจกว้างที่เปิดรับคนแบบพวกเราไงล่ะ สักวันหนึ่งพวกเราสองคนไปดินแดนที่เหมือนกับนิยายนั่นกันเถอะ“

และยิ่งต่อไปจากนี้ที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้กลายเป็นจริงในประเทศไทยแล้ว เชื่อได้เลยว่าจะต้องส่งอิทธิพลไปสู่อีกหลากหลายด้าน นับเป็นมูฟเมนต์ครั้งยิ่งใหญ่บนหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ควรค่าแก่การจารึกไว้ในฐานะ ‘จุดหมายใหม่ที่เป็นมิตรต่อ LGBTQ+’

TEXT: Rathatip Khamnurak, Tikumporn Chaiyakote, Thanayut Wanametin

Latest Posts

Don't Miss