Tuesday, September 10, 2024

5 เควียร์ไอคอนแห่งยุคกับการสร้างโมเมนต์สะเทือนโลกป๊อปคัลเจอร์

เดือนไพรด์คือเดือนที่สำคัญที่สุดสำหรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เฉลิมฉลองให้กับความเป็นตัวของตัวเองของแต่ละคน ทั้งยังเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญของกลุ่มคนที่เคยต่อสู้มาเพื่อชาวเควียร์รุ่นหลังด้วย ซึ่งในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็จะมีเควียร์ไอคอนที่น่าจดจำผู้เป็นคนกรุยทางให้กับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศรุ่นหลังในวิธีที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิทางการเมือง โลกป๊อปคัลเจอร์ หรือแม้แต่นำเทรนด์เรื่องแฟชั่นที่ไร้ข้อจำกัดทางเพศด้วย ในโอกาสนี้แอลจึงอยากจะพาคุณย้อนเวลาไปทำความรู้จักกับ 5 เควียร์ไอคอนคนสำคัญแห่งยุค พร้อมชมเหตุการณ์สุดไอคอนิกที่พวกเขาเคยทำเพื่อเรียกร้องสิทธิให้กับเหล่าชาวเควียร์ด้วยเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม: มองภาพสะท้อน ‘PRIDE MONTH’ เดือนแห่งความภาคภูมิใจในยุคแห่งความเท่าเทียมของปี 2024

David Bowie

ถ้าหากให้พูดถึงเควียร์ไอคอนย่อมต้องมีชื่อของศิลปินร็อกระดับตำนานอย่าง David Bowie เพราะเขาคือผู้มาก่อนกาลอย่างแท้จริง ทั้งในมุมมองการสร้างสรรค์งานที่มีความแหวกขนบของคนในยุคนั้น ดนตรีอันเหนือชั้น การแต่งกายที่ทำลายบรรทัดฐานเรื่องเพศ หรือแม้แต่การแต่งหน้าอย่างจัดเต็ม ซึ่งการแต่งตัวของเขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนหนุ่มสาวยุคนั้นเป็นอย่างมากจากแฟชั่น Androgynous ที่เขาเป็นผู้ริเริ่ม จากเดิมที่คนในยุคนั้นไม่กล้าแต่งตัวก็กลายเป็นว่าผู้ชายมาดแมนก็กล้าทำเล็บ แต่งหน้า หรือแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าผู้หญิง สาวๆ เองก็กล้าใส่ชุดกีฬา กางเกงคาร์โก้ แต่งหน้าจัด และเขียนตาด้วยอายไลเนอร์เข้ม

อ่านเพิ่มเติม: 3 เหตุผลที่ David Bowie ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งโลกแฟชั่น

ยิ่งโดยเฉพาะในยุคหนึ่งที่เขาสร้างตัวตนใหม่ (Alter Ego) Ziggy Stardust ขึ้นมาในการแสดงโชว์ ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงแนวคิดของเขาที่มีต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะที่เป็นอิสระและไร้ข้อจำกัดเรื่องเพศ เพราะตัวตนนี้ของเขาไม่ได้ระบุเพศว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ตัวตนนี้เปรียบเสมือนความอิสรเสรี เขาจะแต่งหน้าด้วยเมกอัพฉูดฉาด รวมทั้งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสไตล์อาวองการ์ดที่ไม่ใช่ทั้งเสื้อผ้าผู้ชายหรือหญิง ดังนั้นเราจึงอาจกล่าวได้ว่า David Bowie คือบุคคลสำคัญผู้กรุยทางให้กับเหล่าชาวเควียร์ในยุคนั้น ทั้งยังการเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้พวกเขากล้าจะแต่งตัวและเป็นตัวของตัวเอง

Freddie Mercury

Freddie Mercury เป็นศิลปินที่เคยแต่งงานกับผู้หญิง เลิกรากันไปแล้วคบหากับพาร์ตเนอร์ผู้ชาย แต่เขาไม่เคยเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่าเขามีรสนิยมทางเพศอย่างไร เพราะเขาต้องเผชิญหน้ากับการเกลียดคนรักเพศเดียวกันทั้งจากครอบครัวและสังคม รวมทั้งโรคเอดส์ที่เพิ่งมาแสดงอาการในช่วงท้ายของชีวิตเขาด้วย แต่นอกเหนือไปจากเรื่องราวชีวิตของเขาที่ต่อสู้กับอคติของคนในสังคมอย่างแข็งแกร่งนั้นคือความไอคอนิกของเขาในฐานะศิลปิน เพราะตลอดระยะที่เขาอยู่บนเส้นทางดนตรีนี้ เขาได้สร้างผลงานมากมายอันเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินเควียร์รุ่นหลังมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ดนตรีแกลมร็อกเป็นที่รู้จัก, การแต่งตัวบนคอนเสิร์ตซึ่งไร้ข้อจำกัดเรื่องเพศแบบ Androgynous Fashion, การนำลุคของคลับเกย์ใต้ดินในนิวยอร์กมาเป็นแฟชั่นกระแสหลัก หรือแม้แต่จิตวิญญาณในการเป็นนักดนตรีของเขาที่เขียนเพลง Don’t Stop Me Now ออกมาในช่วงเวลาสี่เดือนสุดท้ายก่อนเขาจะเสียชีวิต

อีกหนึ่งโมเมนต์สำคัญที่ต้องหยิบยกมาพูดถึงคือมิวสิกวิดีโอ I Want To Break Free ซึ่งเฟรดดี้และสมาชิกคนอื่นๆ ในวงแต่งแดร็กเป็นผู้หญิงเพื่ออ้างอิงไปถึงละครทีวีชื่อดังของอังกฤษอย่าง Coronation Street และยังมีฉากการเต้นบัลเลต์ของนักเต้นที่ค่อนข้างเผยให้เห็นเนื้อหนัง แต่เมื่อเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาแล้วกลับถูกแบนในช่อง MTV ของสหรัฐอเมริกา โดยพวกเขาอ้างว่ามีการโชว์พฤติกรรมเกี่ยวกับเรื่องเพศมากเกินไป ตัววิดีโอก็ไม่เชื่อมโยงอะไรกับละครทีวีเรื่องนั้น ทั้งยังเหมือนการแต่งกายข้ามเพศซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ยังไม่ถูกยอมรับในอเมริกา แต่จากประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้นในยุคนั้น ก็ต้องบอกว่าพวกเขามีความกล้ากันทั้งวง เพราะแม้จะถูกต่อต้าน แต่เพลงนั้นก็ประสบความสำเร็จจนเป็นอีกหนึ่งตำนานในวงการเพลง ทั้งยังสะท้อนว่าพวกเขาคือกลุ่มคนที่มีแนวคิดก้าวหน้ากว่าสังคมในยุคนั้น

Madonna

หากย้อนไปในช่วงยุค 80s ที่มีการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ศิลปินคนดังหลายคนที่มีพลังอยู่ในมือส่วนมากเลือกมองข้ามที่จะพูดถึงประเด็นนี้ แต่ศิลปินตัวแม่อย่าง Madonna เป็นนักร้องคนดังไม่กี่คนในยุคนั้นที่จะออกมาพูดและเป็นกระบอกเสียงให้กับคนที่เป็นโรคเอดส์ เนื่องจากครูสอนเต้นของเธออย่าง Christopher Flynn ป่วยเป็นโรคนี้และเสียชีวิตไป และนั่นกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอทุ่มเทกับการช่วยเหลือกลุ่มคนที่เป็นโรคเอดส์ ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการกุศลต่างๆ ให้ทุนสำหรับการวิจัยโรคนี้เพื่อหาทางรักษา หรือแม้แต่กระทั่งการปล่อยอัลบั้มที่มีใบปลิวให้ความรู้การป้องกันโรคเอดส์กับวัยรุ่น

หลังจากนั้นเธอก็ยังปล่อยซิงเกิ้ล ‘Vogue‘ ออกมาเมื่อปี 1990 ซึ่งเป็นเพลงที่ออกแบบท่าเต้นโดยกลุ่มแดร็กและนักเต้นผิวดำ โดยเธอให้พวกเขามามีส่วนร่วมในมิวสิกวิดีโอหลายส่วน ในที่สุดเพลงนี้ก็ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งบนบิลบอร์ดนาน 3 สัปดาห์ ทั้งยังประสบความสำเร็จไปทั่วโลก และกลายเป็นเพลงชาติของเหล่าคนหลากหลายทางเพศมาจนถึงปัจจุบัน

เธอสนับสนุนกลุ่มคนหลากหลายทางเพศมาตลอดระยะเวลาการเป็นศิลปินของเธอกว่า 4 ทศวรรษ เพราะเธอทั้งให้พวกเขามาเป็นส่วนหนึ่งในโชว์คอนเสิร์ต ออกเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจหรือทรีบิวต์ให้พวกเขามาตลอด และคอนเสิร์ตทุกๆ ครั้งของมาดอนน่าก็จะเน้นโฟกัสถึงความรักความสัมพันธ์ของมนุษย์ แนวคิดเรื่องเพศอันเป็นอิสระ รวมทั้งการเป็นตัวของตัวเองอย่างภาคภูมิใจด้วย ฉะนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเธอจึงเป็นไอคอนคนสำคัญในโลกของชาวเควียร์และโลกป๊อปคัลเจอร์ด้วยเช่นกัน

Rupaul

หลายคนอาจคุ้นเคยกับ Rupaul จากรายการ Rupaul Drag Race ที่มีเหล่าแดร็กควีนทั่วโลกมาร่วมแข่งขันมากมาย ซึ่งรายการนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในไอคอนคนดังในวงการเควียร์ เพราะนับตั้งแต่ยุค 90s จนถึงปัจจุบัน รูพอลเป็นศิลปินคนเดียวที่นำเสนอภาพของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศบนสื่อกระแสหลักมากที่สุด ผู้คนมากมายก็เข้าใจคอมมูนิตี้ของเหล่าแดร็กควีนมากยิ่งขึ้นจากรายการแดร็กเรซ มากไปกว่านั้นแล้วสื่อหลายแห่งก็ยกให้รูพอลเป็นแดร็กควีนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก

ผลงานที่ผ่านมาของรูพอลมีทั้งเพลง ภาพยนตร์ รายการทีวี และมิวสิกวิดีโอ แต่งานที่โดดเด่นมากที่สุดย่อมเป็นรายการ Drag Race ที่ในรายการนำเสนอทั้งภาพของคอมมูนิตี้แดร็ก การนำเสนอศิลปะแห่งการแสดงออกความเป็นตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัด รวมทั้งการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและเรื่องของเพื่อนหญิงพลังหญิงด้วย

อ่านเพิ่มเติม: ทำความรู้จัก แดร็ก ศิลปะบนเรือนร่างกับการแสดงออกถึงตัวตนที่ไร้ขอบเขต 

Lady Gaga

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าศิลปินสาวอย่าง Lady Gaga สนับสนุนกลุ่มคนหลากหลายทางเพศและเป็นกระบอกเสียงให้กับคอมมูนิตี้นี้มาโดยตลอด แต่หนึ่งในเหตุการณ์ไอคอนิกที่สุดคือโมเมนต์การสวมใส่ชุดเนื้อดิบไปร่วมงาน MTV Music Awards เมื่อปี 2010 ที่เธอถูกวิจารณ์อย่างหนักจากคนหลายกลุ่มว่าเป็นชุดโหดร้าย แต่เธอก็ออกมาแถลงว่าแฟชั่นโมเมนต์ในครั้งนี้คือการประท้วงนโยบาย Don’t Ask, Don’t Tell ของกองทัพสหรัฐที่จะไม่ให้กลุ่มคนหลากหลายทางเพศรับราชการทหาร โดยเธอกล่าวว่า “ถ้าเราไม่ยืนหยัดในสิ่งที่เราเชื่อ ไม่สู้เพื่อสิทธิที่เราควรได้ อีกไม่นานเราคงไม่เหลืออะไรแล้วนอกจากเนื้อหนังหุ้มกระดูก” ซึ่งหลังจากที่เธอและผู้คนมากมายร่วมต่อต้านนโยบายนี้ ก็เป็นอันว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยกเลิกไปในหนึ่งปีหลังจากนั้น

นอกจากนี้เธอยังเคยปล่อยซิงเกิ้ลเพลงสุดไอคอนิกอย่าง Born This Way โดยเพลงนี้สร้างตำนานการเป็นเพลงอันดับหนึ่งบนชาร์ตที่มีทรานส์เจนเดอร์อยู่ในมิวสิกวิดีโอ ซึ่งนับตั้งแต่ที่เพลงปล่อยออกมาจนถึงตอนนี้มันกลายเป็นอีกหนึ่งเพลงชาติของเหล่า LGBTQIAN+ ไปแล้วเช่นเดียวกัน เพราะเนื้อเพลงพูดถึงการปลดปล่อยตัวตนให้เป็นอิสระ ความเท่าเทียมทางเพศ พร้อมด้วยสิ่งที่สำคัญที่สุดในเพลงก็คือความรัก เพราะไม่ว่าเราหรือคนอื่นจะมีสัญชาติอะไร เพศอะไร หรือรสนิยมทางเพศแบบใดก็ตาม พวกเราต่างเกิดมาพร้อมกับมัน ดังนั้นพวกเราควรรักตัวเองและรักคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมกลุ่มคนหลากหลายทางเพศถึงยกย่องให้เธอเป็นอีกหนึ่งตำนานของโลกป๊อปคัลเจอร์นั่นเอง

Latest Posts

Don't Miss

Stay in touch

To be updated with all the latest news, offers and special announcements.