ในช่วงเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นได้ถูกปกคลุมไปด้วยดอกซากุระผลิบานสะพรั่งเช่นนี้ Dior ก็ได้เลือกเมืองเกียวโตมาเป็นหมุดหมายสำหรับแฟชั่นโชว์คอลเล็กชั่น Fall 2025 ที่รังสรรค์โดย Maria Grazia Chiuri ท่ามกลางบรรยากาศอันรื่นรมย์ของ GARDEN OF TOJI เพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของแบรนด์และประเทศญี่ปุ่น พร้อมถ่ายทอดความหลงใหลในดินแดนซากุระแห่งนี้ที่มีตั้งแต่ยุคของ Christian Dior เรื่อยมาจนปัจจุบัน แอลจึงได้สรุป 5 ไฮไลต์สำคัญประจำคอลเล็กชั่นนี้มาให้ทุกคนได้ดื่มด่ำไปพร้อมกัน
Dior’s Fond of Japan
แม้ว่า Christian Dior จะไม่เคยมาเยือนญี่ปุ่นด้วยตนเองเลยสักครั้ง แต่ดินแดนที่มีทั้งมรดกแห่งวัฒนธรรมรุ่งโรจน์ ผสมผสานกับเทคโลโนยีล้ำสมัยนี้ก็ได้มอบแรงบันดาลใจชั้นดีให้กับแบรนด์เสมอมา จนก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นทุกยุคทุกสมัย นับตั้งแต่ที่ Christian Dior ตั้งชื่อชุดเดรส Tokio ในคอลเล็กชั่น Fall 1952 ตามมาด้วยหลากหลายคอลเล็กชั่น แรงบันดาลใจ รวมไปถึงอีเวนต์สำคัญ โชว์ต่างๆ และนิทรรศการที่วนเวียนมาข้องเกี่ยวกับเมืองสำคัญอย่างโตเกียว เกียวโต และโอซาก้า
นอกจากนั้นเมื่อปี 1959 Dior ยังได้ออกแบบทั้ง 3 ชุดอภิเษกสมรสของจักรพรรดินีมิจิโกะที่เข้าพิธีกับกับจักรพรรดิอากิฮิโตะ ผ่านเทคนิก Meiki Zuicho Nishiki ที่หยิบเอาวัฒนธรรมญี่ปุ่นและฝรั่งเศสมาผสมผสานกันได้อย่างละเมียดละไม ซึ่งโปรเจ็กต์อันทรงเกียรตินี้ก็ได้ริเริ่มดีไซน์โดย Christian Dior และสานต่อจนสำเร็จลุล่วงโดย Yves Saint Laurent ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำความผูกพันของ Dior และประเทศญี่ปุ่น จึงไม่แปลกใจหากจะกลายเป็นหมุดหมายล่าสุดของ Dior Fall 2025

Special Night at the Toji Garden
ก่อนหน้านี้ Dior เคยมาเยือนญี่ปุ่นในหลากหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์แฟชั่นฝั่งตะวันตกเจ้าแรกๆ ที่เข้ามาที่ญี่ปุ่น หรือในปี 1999 ได้จัดนิทรรศการที่ Kobe Fashion Museum มาจนถึงการรังสรรค์ผ่านฝีมืออันประณีตของ Maria Grazia ในปี 2017 กับคอลเล็กชั่น Haute Couture Spring/Summer 2017 ในโตเกียว และในปี 2025 นี้ Dior ก็ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมได้เชื้อเชิญทุกคนมาสัมผัสกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นผ่านการเดินทางครั้งใหม่แบบเต็มรูปแบบอีกครั้งในคอลเล็กชั่น Fall 2025 ผ่านสถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่าง วัดโทจิ หนึ่งในวัดของเมืองเกียวโตที่มีประวัติศาสตร์อันแสนยาวนานที่ได้รับการยอมรับและถูกยกย่องขึ้นเป็นหนึ่งในมรดกโลก โดยจะจัดขึ้นในสวนอันร่มรื่นที่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวให้การขนานนามว่าสวนนี้เป็นเหมือนเพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางประวัติศาสตร์ของวัดโทจิ ที่มีความเก่าแก่ยาวนานกว่า 381 ปี


Sada Yacco: From Japan to the World
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ Dior ได้นำสตรีผู้ทรงอิทธิพลมาเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์คอลเล็กชั่น เช่นเดียวกับ Fall 2025 นี้ซึ่งก็คือ Sada Yacco นักแสดง นักร้อง และนางรำที่โด่งดังจากการนำเสนอศิลปะการแสดงแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมออกสู่สายตาโลกฝั่งตะวันตกจนกลายเป็นบุคคลเลื่องชื่อแห่งโรงละครของยุโรปและอเมริกัน พร้อมสะกดทุกสายตาและทำให้ต่างชาติได้เข้าเรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างถ่องแท้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ Sada ยังได้เดินทางไปทั่วโลกพร้อมร่วมงานกับศิลปินและนักแสดงชื่อดังแห่งยุคมากมาย รวมไปถึง Loie Fuller อีกทั้งในการแสดงของเธอก็ยังมีบุคคลสำคัญในแวดวงสังคมของฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็น Maurice Ravel นักแต่งเพลงชาวฝรั่งเศส ร่วมถึงศิลปินอย่าง Jean Cocteau เรียกได้ว่าหากพูดถึงหญิงสาวผู้เชื่อมโยงเรื่องราวระหว่างญี่ปุ่นและฝรั่งเศสได้อย่างไร้รอยต่อแล้วล่ะก็ จะพลาดชื่อของ Sada Yacco ไปเป็นไม่ได้ จึงไม่แปลกใจที่ทั้งซิลูเอตอันเป็นเอกลักษณ์และลวดลายอ่อนช้อยบนชุดระบำที่เธอมักสวมใส่จะถูกหยิบมาตีความใหม่ให้มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้นในคอลเล็กชั่นนีั้


Dior with Rising Japanese Artists
Maria Grazia ได้ทำการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่มีความเป็นเอกลักษณ์ไปพร้อมๆ กับการสะท้อนวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นด้วยการร่วมงานกันกับช่างฝีมือท้องถิ่นอย่างบริษัทที่ผลิตสิ่งทอดั้งเดิมอย่าง Tatsumura Textile โดยพวกเขาเคยได้ร่วมงานกับเมซงมาก่อนหน้าในผลงานเดรส Tokio ในปี 1952 อีกทั้งยังทำงานร่วมกับ Kahachi Tabata ผู้เชี่ยวชาญด้านการย้อมผ้ากิโมโน และ Yoshiyuki Fukuda ที่มีความโดดเด่นด้วยเรื่องงานปัก


วัฒนธรรมความเป็นญี่ปุ่นถูกสะท้อนออกมาอย่างประณีต ทั้งลวดลายและสีสันของซากุระ การเลือกเนื้อผ้าอย่างผ้าไหมที่มีความพลิ้วไหว ไปจนถึงกิโมโนที่เป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน โดย Maria Grazia ได้ผสมผสานความเป็นตัวตนของเธอไปพร้อมๆ กับความสามารถอันโดดเด่นจากช่างฝืมีอท้องถิ่นทั้ง 3 ออกมาได้อย่างไร้ข้อกังขา ทั้งเนื้อผ้าที่เลือกใช้ สีสันที่มีการไล่น้ำหนัก และลายปัก ถูกถ่ายทอดมาอยู่บนคอลเล็กชั่น Fall 2025 ได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว และสมบูรณ์แบบ
A Dialogue in Silk
ภายในโชว์ Dior Fall 2025 ลุคต่างๆ ถูกถ่ายทอดการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างโครงสร้างแบบฝรั่งเศสการตัดเย็บที่เนี้ยบกริบ และซิลูเอ็ตทรงพลังเข้ากับดีเทลอันอ่อนช้อยจากโลกตะวันออกอย่างกิโมโนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นแขนเสื้อทรงกว้างที่พลิ้วไหว การผูกเอวแบบ obi หรือการทิ้งตัวของผ้าอย่างอ่อนละมุน ทุกองค์ประกอบสื่อถึง ความสมดุล ระหว่าง พลัง และ ความอ่อนโยน ได้อย่างงดงามไร้ที่ติ การใช้โทนสี ในคอลเล็กชั่นยังเล่าเรื่องได้อย่างมีมิติ ไล่ตั้งแต่เฉดสีอ่อนละมุนอย่างครีม ฟ้า เขียว ไปจนถึงโทนเข้มลึกลับอย่างดำสนิท พร้อมด้วยลูกเล่นของพู่ที่ถูกแทรกเข้าไปในแต่ละลุคอย่างมีจังหวะ ช่วยเติมเต็มลุคให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ชวนให้สายตาหยุดมองคือ เครื่องประดับที่ดีไซน์คล้ายกิ่งไม้โอบรอบลำคอ เสมือนเป็นการผสานธรรมชาติเข้ากับเรือนร่างอย่างแยบยล




ในด้านวัสดุและเทคนิค ลวดลายผ้าที่ปรากฏในโชว์หลายลุคถูกถ่ายทอดผ่านผ้าไหมที่ทอด้วยเทคนิคดั้งเดิมแบบ Art Brocade โดย Tatsumura Textile โรงทอผ้าในเกียวโตที่ Dior เคยร่วมงานด้วยเมื่อปี 1954 งานทอผ้าในครั้งนี้เปี่ยมไปด้วยรายละเอียดอันวิจิตรประณีต สื่อถึงรากเหง้าแห่งวัฒนธรรมและฝีมือหัตถศิลป์ระดับมรดกการหยิบยก ลวดลายจากคอลเล็กชั่นปี 1954 กลับมาตีความใหม่ยังสะท้อนถึงแนวคิด Modern Archive ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในกระแสหลักของวงการแฟชั่นในยุคปัจจุบันที่ให้คุณค่าแก่เรื่องราวในอดีต พร้อมเสริมด้วย ลายพิมพ์ที่บอกเล่าเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นซากุระ การไล่เฉดสีแบบอ่อนสู่เข้ม หรือการนำดีไซน์ของชุดกิโมโนมาต่อยอดอย่างสร้างสรรค์ตั้งแต่เวอร์ชั่นบนผ้ายีนส์จนถึงผ้าไหมพริ้ว กระเป๋าในคอลเล็กชั่นนี้ยังถูกออกแบบใหม่ในสไตล์พิเศษพร้อมลวดลายที่ให้ความรู้สึกทั้งสดใหม่และงดงาม ขณะที่รองเท้าแตะซึ่งดูแปลกตาในบริบทของรันเวย์กลับถูกจับคู่เข้ากับทุกลุคตั้งแต่ชุดยีนส์จนถึงชุดราตรียาวได้อย่างไร้ที่ติ




TEXT: Rathatip Khamnurak, Tikumporn Chaiyakote, Thanayut Wanametin