Friday, February 14, 2025

ไขคำตอบ! ทำไม 4 นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนจากวงการความงามนี้ ถึงตอบโจทย์ปัญหาสิ่งแวดล้อม

เมื่อวงการความงามต่างพุ่งเป้าความสนใจไปที่ประเด็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความเปลี่ยนแปลงที่หลายแบรนด์พยายามพัฒนามาตลอด 10 ปีก็ได้เข้ามาอยู่ในกระแสหลัก ทำให้ทุกกระบวนการการผลิตสำคัญทั้งสิ้น อุตสาหกรรมการผลิตจะต้องลดมลพิษตกค้างต่อสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจหลัก โจทย์ต่อมาคือเรื่องของแพ็คเกจจิ้งที่ต้องไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่การย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นในภาคเกษตรกรรมและขั้นตอนการสร้างสรรค์ ซึ่งแอลก็ได้รวมรวม 4 นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในวงการความงามมาให้ได้ทำความเข้าใจแบบสั้นๆ รวบรัด เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Regenerative Agriculture, ส่วนผสมพิเศษ ระบบนิเวศฟื้นตัว

แบรนด์ความงามได้เกิดแรงบันดาลใจเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศโดยใช้หลากหลายวิธี เช่น Clarins ที่จับมือกับองค์กร ASTERS หน่วยงานอนุรักษ์ในเขตโอต-ซาวัว และ Chanel ผู้บุกเบิกการปลูกพืชหลากหลายสายพันธุ์ในพื้นที่ต่างๆ ก็มีการปลูกดอกคามิลเลียมากกว่า 2,700 ต้นในเมืองโกฌักค์ ไม่ใช่แต่แบรนด์ยักษ์ใหญ่เท่านั้น เพราะอย่าง L’Occitane ก็มีการตั้งแผนกวิทยาศาสตร์และผลผลิตทางเกษตร มีไร่ปลูกส่วนผสมที่เราคุ้นเคยอย่างเชียร์บัตเตอร์ ลาเวนเดอร์และอัลมอนด์ด้วยวิธีวางระบบนิเวศแบบยั่งยืน กลุ่มผลิตภัณฑ์ในเครือ Uniliver ก็ออกมาประกาศว่าในปีที่ผ่านมาได้ให้เงินทุนการสนับสนุนกลุ่มเกษตรกร ส่วน Lush ก็ทำการตลาดด้วยการตั้งรางวัลในปี 2017 เพื่อช่วยสร้างความตื่นตัวให้กับประเด็นนี้เช่นเดียวกัน 

Importance of Labels, ฉลากวัดมาตรฐาน

โลโก้ B-Corp ที่เห็นได้ทั่วไปนั้น คือเครื่องหมายการันตีธุรกิจที่มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานสูงสุดของ NGO ซึ่งดูแลเรื่องการดำเนินงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยฉลาก B-Corp นี้ครอบคลุม 5 หมวดหลัก ได้แก่ การร่วมมือกับพนักงาน ชุมชน รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและผลกระทบในภาพรวมของธุรกิจ นอกเหนือจากประเด็นเหล่านี้ยังดูถึงสภาพความเป็นจริงที่เกิดจากนโยบาย โดยใช้ระบบให้คะแนนที่จะถูกตรวจทุก 3 ปีเพื่อเช็กคุณภาพ ในเวลานี้มีบริษัทมากกว่า 4,000 แห่งทั่วโลกที่ได้รับการรับรองไปแล้ว และยังมีอีกกว่า 150,000 บริษัทที่ใช้บริการนี้เช่นกัน บริษัทความงามอย่าง Aveda, Elemis, Davines, The Body Shop และแบรนด์ความงามสายธรรมชาติอื่นๆ ก็ต่างต้องการรับรองด้วยเครื่องหมายนี้

Renewable Ingredients, ใช้ซ้ำได้ ไม่ทำร้ายโลก

การวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เป็นประเด็นที่ทุกแบรนด์ให้ความสนใจ สำหรับบริษัทความงามระดับโลกอย่าง L’Oreal Group ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากถึงขนาดที่ว่า ส่วนผสมที่นำมาผลิตนั้นต้องนำกลับไปใช้ใหม่ได้ให้มากถึง 95% ต่อสัดส่วนทั้งหมด และยังมีแผนสร้างพื้นที่เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุให้ได้มากที่สุดภายในปี 2030 โดยผู้บริหารระดับสูง Delphine Bouvier ยังอธิบายต่ออีกว่า L’oreal ไม่ได้จะใช้แค่ผลิตภัณฑ์จากพืชธรรมชาติ แต่จะต่อยอดไปถึงผลิตภัณฑ์จาก Bio-based (วัสดุชีวภาพ) ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะไม่ขยายพื้นที่การผลิตไปมากกว่าที่มีอยู่ รวมไปถึงหยุดใช้สารเคมีที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะในตลาดตอนนี้ก็มีส่วนผสมทางเลือกที่มาทดแทนกันได้แล้วอย่างจุลินทรีย์ 2 สายพันธ์ุที่ถูกค้นพบโดยกลุ่มนักวิจัย The Marisurf research programme นำโดยนักวิจัยชั้นนำในยุโรปและแบรนด์ Apivita นั่นเอง

From discarded to desirable, จากของเสียสู่ของสูง 

เมื่อวงการความงามหันมาให้ความสนใจกับการใช้ประโยชน์จากทุกอณูของผลิตผลเพื่อมาต่อยอดผลิตภัณฑ์ความงาม จากขยะที่ถูกทิ้งขว้างก็กลายเป็นสิ่งของต้องแสวงหา จนบางแบรนด์ก็ใช้เป็นจุดขายหลักไปเลย เช่น Shiseido ที่ลงทุนโปรโมทให้กับไลน์ผลิตภัณฑ์ Waso ที่มีส่วนประกอบหลักเป็นกากที่เหลือจากสายพานการผลิตน้ำแอปเปิ้ล Surfing บริษัทแนวรักษ์โลกน้องใหม่ก็ยังร่วมมือกับบริษัทกาแฟ Kaffe Bueno โดยนำกากกาแฟที่ใช้ในโรงแรมมาต่อยอดเป็นส่วนผสมที่ชื่อ Kaffoil รวมถึงการนำไปเป็นผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่ทำจากเมล็ดกาแฟบด ในประเทศฟินแลนด์ก็ยังมีกระแสนำเอาเศษไม้จากการแกะสลักมาใช้แทนส่วนประกอบอย่าง azelaic acid ซึ่งเป็นสารป้องกันสิวและชะลอความเสื่อมของผิวพรรณ

จากบททความ Turn Over a New Leaf ช่วงเวลาแห่งการผลัดใบในโลกความงาม จากนิตยสาร ELLE Thailand ฉบับ May 2023

Text: Valentine Petry
Translator: Mallika Boonyuen
Cover Photo Courtesy: Sora Shimazaki

Latest Posts

Don't Miss