ถ่ายทอดดั่ง บทกวีแห่งเวลา ตามแนวคิด ‘The Poetry of Time’ ที่ Van Cleef & Arpels ได้วางแนวทางไว้สำหรับการสร้างสรรค์เรือนเวลา จากการหล่อหลอมระหว่างทักษะความเชี่ยวชาญในงานหัตถศิลป์ มรดกแห่งประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกา เช่นเดียวกับการรังสรรค์เครื่องประดับอัญมณีเข้าไว้ด้วยกัน และในปีนี้ กวีเหล่านี้ก็ยังคงได้รับการสืบทอดและขับขานอย่างงดงามผ่านคอลเล็กชั่นเรือนเวลารุ่นใหม่ของ Maison



ในงาน Watches and Wonders Geneva 2023 ที่ผ่านมา Van Cleef & Arpels ไม่เพียงเนรมิตบูธจัดแสดงผลงานภายใต้บรรยากาศของการเดินทางท่ามกลางผืนป่าหลังฤดูใบไม้ผลิซึ่งกำลังย่างกรายเข้าสู่ความอบอุ่นและเต็มไปด้วยสีสันของฤดูร้อน โดยรายล้อมไปด้วยความรื่นรมย์ของเสียงเพรียกและความมีชีวิตชีวาจากธรรมชาติ ทั้งสัญลักษณ์ของนก ผีเสื้อ แมลงปอ พรรณไม้ จรดแสงสว่างสดใสของช่วงเวลากลางวัน ก่อนจะอาบไปด้วยแสงอำพันของดวงอาทิตย์ ณ ช่วงสนธยา แต่สิ่งที่ทำให้เรามิอาจละสายตาได้เลยนั้น ก็คือการได้ชื่นชมเหล่าผลงานนาฬิการุ่นใหม่ รวมถึงประดิษฐกรรมบอกเวลาสุดพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นด้วยเทคนิคจักรกลอันซับซ้อน ทั้งยังผสานไว้ด้วยงานหัตถศิลป์ชั้นสูง ซึ่งแต่ละชิ้นงานก็ต่างสะท้อนถึงความงดงามแห่ง The Poetry of Time ได้อย่างกลมกลืน

ในบรรดาไฮไลต์ที่จัดแสดงภายในบูธแห่งนี้ ยังรวมไปถึง 3 ประดิษฐกรรมผลงานจากคอลเล็กชั่น Extraordinary Objects อันเลื่องชื่อของแบรนด์ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงทักษะความชำนาญในอีกสาขาผ่านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะวัตถุในรูปแบบ Automatons หรือหุ่นกลเคลื่อนไหว ที่ปีนี้ แบรนด์ได้นำบรรดาผลงานกลไกหุ่นกลและประดิษฐกรรมจักรกลเคลื่อนไหวมาจัดแสดงมากมายหลายชิ้น โดยเฉพาะ 3 ชิ้นงานเด่น อย่าง นาฬิกาตั้งโต๊ะจักรกล Planétarium Automaton ส่วนหนึ่งของผลงานชุด Poetic Astronomy ซึ่งในรุ่นใหม่นี้ได้ขยายการตีความสู่การนำวัสดุอันหลากหลายมาใช้ร่วมกัน เพื่อแสดงวิถีการโคจรรอบดวงสุริยะของดาวเคราะห์ต่างๆ ผลงานนี้ขับเคลื่อนและบอกเวลาด้วยกลไกจักรกลได้ตามความต้องการของผู้สั่งงานที่จะทำให้ระบบสุริยะจักรวาลนี้เคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งเสียงดนตรีที่อาศัยกลไกของค้อนเคาะเสียงตีระฆังซึ่งผสมผสานเข้ากับการแสดงวิถีของดาราจักรจำลองที่มีความสมจริงมากที่สุด


ขณะที่อีก 2 ผลงานนั้นอุทิศให้กับแรงบันดาลใจที่มาจากความงดงามของธรรมชาติและมวลดอกไม้ ทั้งใน Floraison du Nénuphar นาฬิกาตั้งโต๊ะหุ่นกลชูช่อด้วยดอกบัว และ Éveil du Cyclamen นาฬิกาตั้งโต๊ะหุ่นกลแห่งดอกไซคลาเมน โดยแต่ละชิ้นงานรังสรรค์ขึ้นเป็นรูปจำลองดอกไม้ขนาดใหญ่ที่พร้อมจะแย้มกลีบผลิบานได้ตามการสั่งงานของกลไกโดยเจ้าของ พร้อมทั้งเผยให้เห็นสิ่งมีชีวิต อย่าง ผีเสื้อ ที่ขยับเคลื่อนได้เหมือนจริงจากการกระพือปีกของมันใน 2-3 วินาที ก่อนจะค่อยๆ คล้อยตัวลดกลับลงสู่ตำแหน่งเดิม ณ ศูนย์กลางของวงกลีบดอกที่ค่อยๆ หุบปิดเข้าด้วยกันในลีลาอันแสนอ่อนโยน รับกับเสียงอันไพเราะก้องกังวานที่ประสานขึ้นจากกลไกหุ่นกลเหล่านี้ นับเป็นฉากที่สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน นับตั้งแต่ก้าวแรกสู่พรมแดน The Poetry of Time ของ Van Cleef & Arpels

ไม่เฉพาะเพียงศิลปะวัตถุที่ผสมผสานด้วยความเชี่ยวชาญด้านกลไกหุ่นกลที่ Maison ตั้งใจนำเสนอความงดงามวิจิตรของงานฝีมืออันเป็นไฮไลต์เด่นของปีนี้เท่านั้น เพราะในอีกฝั่งหนึ่งของคอลเล็กชั่นเรือนเวลาข้อมือก็ต่างสะท้อนถึงงานหัตถศิลป์ชั้นสูงที่หลอมรวมเข้ากับประเพณีและมรดกแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาอันเป็นต้นตำรับของ Van Cleef & Arpels และกลายเป็นดั่ง เครื่องประดับบอกเวลาอันทรงคุณค่าเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ผลงานนาฬิกาข้อมือ และเครื่องประดับซ่อนเวลาจากคอลเล็กชั่น Perlée โดยการใช้เทคนิคเฉพาะของงานรังสรรค์ลูกปัดทองกลมกลึงมาประดับเรียงร้อยรอบขอบตัวเรือนนาฬิกา พร้อมทั้งผ่านการขัดผิวขึ้นเงาราวกระจกบนเนื้อของทองโรสโกลด์หรือไวต์โกลด์ เพื่อสะท้อนเล่นกับแสงได้อย่างเป็นประกายราวกับประดับด้วยอัญมณี ขณะที่กลมกลืนไปกับความประณีตละเอียดอ่อนของหน้าปัดทองแกะสลัก guilloché ลายเส้นริ้วรัศมี หรือในเวอร์ชันประดับฝังเพชรแบบจิกไข่ปลาซึ่งเผยความงดงามของประกายแสงระยิบระยับได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังให้สัมผัสของความประณีต อ่อนช้อย และกลมกลึงรับไปกับความโค้งของเรือนเวลา รวมถึงเป็นหนึ่งเดียวกับสรีระข้อมืออันเรียวบางของหญิงสาวได้อย่างสมบูรณ์แบบ




เครื่องประดับบอกเวลาอีกหนึ่งผลงานระดับตำนาน ทั้งยังเป็นตัวแทนของนาฬิกานำโชค อย่าง Alhambra ในปีนี้ ได้ผ่านการตีความ พร้อมทั้งคัดสรรรัตนชาติหลากชนิดมาบรรจงประดับตกแต่งไว้อย่างละเอียดอ่อน โดยไม่เพียงอาศัยทักษะอันเหนือชั้นจากแผนกห้องปฏิบัติการรังสรรค์ผลงานและการออกแบบของ Maison แต่ยังแต่งเติมด้วยเสน่ห์แห่งสีสันและศิลปะของการตกแต่งอันชดช้อยบนรูปทรงใบโคลเวอร์ 4 แฉกที่เป็นต้นตำรับของคอลเล็กชั่น รังสรรค์สู่ความอ่อนหวานของนาฬิกาเครื่องประดับ Sweet Alhambra รุ่นใหม่ที่ยังคงลูกเล่นของการร้อยโมทิฟรูปทรงใบโคลเวอร์ 4 แฉกทำจากทอง สลับกับโมทิฟรูปทรงเดียวกันประดับด้วยหินสีล้ำค่า อย่าง คาร์เนเลียน แต่ละโมทิฟยังตกแต่งขอบด้วยลูกปัดทอง ส่วนตัวเรือนนาฬิกาซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าโมทิฟชิ้นอื่นๆ รังสรรค์บนหน้าปัดด้วยลวดลาย guilloché เล่นกับแสงสะท้อนได้อย่างไม่สิ้นสุด


จุดบรรจบของเครื่องประดับชั้นสูง แฟชั่น และเรือนเวลา ที่วันนี้ได้ถ่ายทอดผ่านผลงานใหม่ของทั้งคอลเล็กชั่นนาฬิกาเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง À Cheval กับจุดเด่นของความยืดหยุ่นในโครงสร้างตัวเรือนที่ช่วยให้สามารถโอบรับรอบสรีระข้อมือของผู้สวมใส่ได้อย่างแนบสนิท แต่ละชิ้นงานยังประดับพร่างพราวไปด้วยแสงระยิบระยับทรงเสน่ห์ของทั้งอัญมณีเลอค่า อย่าง เพชร และอัญมณีสีสันใหม่ โดยนำเสนอใน 2 รุ่นของเรือนเวลา ที่รุ่นแรกมาพร้อมการประดับแซปไฟร์สีน้ำเงินและเพชร ไล่เฉดของสีและประกายแสงนับจากหน้าปัดจรดปลายสายสร้อยข้อมือได้อย่างวิจิตรสวยงาม ส่วนอีกรุ่นถ่ายทอดด้วยสีอันแสนอ่อนโยนของแซปไฟร์สีชมพูและเพชร ไล่เฉดสีและโชว์ความอ่อนช้อยของสายนาฬิกาได้อย่างลงตัวเช่นกัน

ชูความโดดเด่นของดีไซน์ แฟชั่น และความกล้าหาญของผู้หญิงในทุกยุคสมัย กับผลงานล่าสุดจาก Ludo Secret นาฬิกาสไตล์ Secret watch อันโด่งดังของ Maison ซึ่งปีนี้ สืบทอดประเพณีการสร้างสรรค์อันยาวนานมาสู่นาฬิกาข้อมือเครื่องประดับที่ซ่อนเวลาไว้ตัวเลื่อนปิด/เปิดเหนือหน้าปัด ที่เลื่อนเปิดออกได้โดยการกดบนรูปทรงคล้ายหัวเข็มขัดเข้าหากัน รูปทรงหัวเข็มขัดผู้ชายนี้จึงผ่านการออกแบบมาได้อย่างแยบยล ทั้งยังถอดต้นแบบมาจากสร้อยข้อมือ Ludo เส้นแรกที่ Maison สร้างสรรค์ขึ้นในปี 1934 โดยตั้งชื่อตามชื่อเล่นของ Louis Arpels ซึ่งสะท้อนถึงการบุกเบิกด้านแฟชั่นเครื่องประดับและความกล้าหาญของผู้หญิงในการแต่งตัวด้วยความมั่นใจในสไตล์เฉพาะของตนเอง Ludo จึงได้กลายเป็นต้นแบบให้กับการสร้างสรรค์คอลเล็กชั่นผลงานที่เป็นหนึ่งในซิกเนเจอร์ของ Van Cleef & Arpels เช่นเดียวกับการพัฒนาต่อยอดมาสู่เครื่องประดับซ่อนเวลาอันเลื่องชื่อในวันนี้ โดยมีให้เลือกถึง 2 เวอร์ชัน ระหว่างเรือนเวลาเครื่องประดับทำจากโรสโกลด์ ประดับเพชร หรือแซปไฟร์สีชมพู ทั้งคู่มาพร้อมหน้าปัดเปลือกหอยมุกสีขาว แสดงเวลาได้อย่างชัดเจน

ปิดท้ายด้วยนาฬิกาข้อมือตัวแทนแห่ง ‘นางฟ้าบอกเวลา’ อันเป็นสัญลักษณ์ของ Van Cleef & Arpels ใน Lady Féerie จาก Poetic Collection ที่ถอดต้นแบบจากมรดกผลงานดั้งเดิมมาสู่มิติใหม่แห่งสีสันอันกลมกลืน และเพื่อยกย่องความเป็นเลิศของ Maison ในการผสมผสานระหว่างสุนทรียะแห่งบทกวี จินตนาการ ที่บรรจบลงตัวกับความเป็นจริง ถ่ายทอดเป็นจังหวะการเคลื่อนไหวผ่านห้วงเวลาแต่ละชั่วโมงได้อย่างเที่ยงตรงและงดงาม โดยในปีนี้ นาฬิกาข้อมือรุ่นใหม่ Lady Féerie Or Rose ได้ผ่านการตีความขึ้นด้วยเหลือบสีและศิลปะการตกแต่งที่นำมาผสมผสานกันอย่างลงตัว ทั้งเทคนิคการไล่เฉดของงานอีนาเมล และการวาดภาพย่อส่วน ตลอดจนถึงความซับซ้อนของกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ และกลไกหุ่นกล Automaton ที่ขับเคลื่อนให้คทาของนางฟ้าตัวน้อยสามารถเคลื่อนไหวเพื่อแสดงนาทีแบบเรโทรเกรดได้อย่างแม่นยำ ขณะที่แสดงชั่วโมงแบบ Jumping hours ด้วยตัวเลขผ่านทางช่องหน้าต่างวงกลมที่แฝงตัวอยู่ใต้กลีบเมฆเปลือกหอยมุก ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา รับกับความงดงามของการตกแต่งหน้าปัดเปลือกหอยมุกแกะสลักลวดลายและไล่เฉดจากสีขาวมุกสู่สีม่วงเข้ม รวมถึงเฉดสีแชมเปญจนถึงสีฟิวเซียเข้ม พร้อมทั้งเทคนิคอีนาเมล opaque และ plique-à-jour ที่ตกแต่งไว้บนปีกของนางฟ้า นอกจากนี้ บนฝาหลังนาฬิกาซึ่งปกป้องด้วยกระจกแซปไฟร์ยังเผยให้เห็นโรเตอร์แกะสลักเป็นภาพท้องฟ้ายามราตรี ทอแสงจากพระจันทร์เต็มดวงท่ามกลางหมู่ดาว และรายล้อมด้วยโครงร่างของก้อนเมฆลงยาไว้บนกระจก รังสรรค์เป็นเรื่องราวของกวีแห่งเวลาบทใหม่ไว้ภายใต้ตัวเรือนโรสโกลด์ 33 มม. ที่ลงตัวมากับสายหนังสามารถถอดเปลี่ยนได้เองอย่างง่ายดาย
เป็นอีกหนึ่งปีที่ Maison แห่งนี้ได้ถ่ายทอดถึงความงดงามเชิงหัตถศิลป์และความเป็นเลิศด้านจักรกล ที่ร้อยเรียงเข้ากับความคิดสร้างสรรค์และความเชี่ยวชาญด้านเครื่องประดับบอกเวลาได้อย่างเหนือจินตนาการ ผ่านหลากหลายคอลเล็กชั่นผลงานที่เรายังคงสัมผัสได้ถึงบทบาทของทั้งการเป็นเครื่องบอกเวลา ความสวยงามในฐานะเครื่องประดับชิ้นเอก และสุนทรียะแห่ง The Poetry of Time ได้อย่างแท้จริง