Saturday, September 14, 2024

อยากยกกระชับแต่ยังสับสน ไขข้อสงสัย Ulthera STP VS Ultrafomer ต่างกันอย่างไร?

เมื่อเทคโนโลยีความงามไม่เคยหยุดนิ่งแถมยังวิ่งไวจนเราอาจตามแทบไม่ทัน และในบางทีก็อาจจะยังไม่แน่ใจว่าอะไรคืออะไรกันแน่ แต่ทีมแอลบิวตี้ อยากให้คุณสวยได้โดยไม่ต้องปวดหัว #ElleBeautyFAQ ในครั้งนี้ขอพาคุณไปทำความรู้จักกับ Ulthera STP เทคโนโลยีการยกกระชับใบหน้าที่เชื่อว่าต้องคุ้นหูเพราะไม่ได้ใหม่จนสงสัยว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่ทว่าเมื่อมี Ultrfomer เข้ามาเป็นน้องใหม่ในวงการยกกระชับก็อาจทำให้ผู้คนเริ่มเกิดความสับสน เห็นได้จากยอดคำค้นหาในออนไลน์ที่มักมีคำถามว่าเครื่องยกกระชับทั้งสองต่างกันในแง่ไหน โดยครั้งนี้แอลมีโอกาสได้พูดคุยกับ พญ.รัตนนรี ทองนพคุณ จาก ราพาริสคลินิก เพื่อหาคำตอบให้คุณว่าเครื่องยกกระชับอันไหนจะถึงตอบโจทย์เราที่สุด พร้อมด้วยดีเทลอื่นๆที่ตอบทุกข้อสงสัยที่อ่านจบแล้วหมดทุกคำถาม ที่เราตั้งใจเรียบเรียงผ่านข้อมูลบวกกับประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนที่จะช่วยให้เทคโนโลยียากๆอ่านง่ายเข้าใจไว

Ulthera STP VS Ultrafomer ต่างกันอย่างไร?

ก่อนอื่นต้องบอกว่าทั้งสองคือเครื่องยกกระชับมีความคล้ายกันในแง่ของชนิดของพลังงานที่เป็นคลื่นเสียงอัลตราซาวด์เหมือนกันจึงทำให้มีการลงไปกระตุ้นผิวในชั้นเดียวกัน โดยที่พลังงานจากคลื่นเสียงอัลตราซาวน์นี้สามารถลงไปทำงานได้ลึกถึงผิว SMAS ที่อยู่ในตำแหน่งใต้ชั้นผิวหนังและไขมัน โดยผิวชั้นนี้คือผิวชั้นเดียวกับที่แพทย์ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อดึงหน้า เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนเพื่อผลลัพธ์ที่ช่วยให้ใบหน้ายกกระชับได้รูป ผิวหน้าแลดูอิ่มฟู โดยความต่างจะอยู่ที่ดีเทลของการทำงานของเครื่องทั้งสองชนิด โดยเราขอเริ่มที่ Ulthera STP ก่อน

สำหรับจุดเด่นของ Ulthera STP ที่เรียกว่าเป็นเอกสิทธิเฉพาะคือการมีจอแสดงผลแบบ Real time ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวได้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความแม่งยำยิ่งขึ้น โดยคุณหมอรัตนนรีอธิบายว่าตามธรรมชาติผิวชั้น SMASของแต่ละคนมีความตื้นลึกแตกต่างกัน ไม่ได้เป็นเส้นตรงเป๊ะทุกคนดังนั้นการมีจอช่วยให้แพทย์สามารถเลือกหัวที่ใช้งานให้เหมาะสมตามความต้องการเฉพาะบุคคล สามารถยิงให้คลื่นพลังงานลงได้ตรงจุดทำให้เกิดความปลอดภัยและความเสถียร ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเกิดความเสถียรผลลัพธ์ที่ได้จึงเห็นชัดเจนและยาวนานที่อยู่ได้สูงถึง1 ปี โดยพลังงงานความร้อนที่ถูกปล่อยลงไปนั้นหากให้เปรียบให้เข้าใจง่ายก็จะมีเป็นการลงไปเป็นจุดเล็กๆต่อกันเป็นเส้น 1 เส้นก็เทียบเท่ากับ 1 ช็อต โดยที่จำนวนช็อตที่จะต้องทำนั้นเอาตามจริงแล้วไม่มีข้อกำหนดตายตัวว่าต้องจำนวนกี่ช็อตถึงจะเห็นผลเพราะแต่ละบุคคลมีความต้องการที่ไม่เท่ากัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเริ่มตั้งแต่ 400 ช็อตไปจนถึง 1000 ช็อตหรือมากกว่านั้น ซึ่งหากใครอยากได้ค่าเฉลี่ยเพื่อคำนวนค่าใช้จ่าย 600 ช็อตน่าจะเป็นจำนวนที่ดูเหมือนจะเป็นกลางที่สุดแต่ถ้าให้ดีต้องให้แพทย์ใช้เครื่องเพื่อแสกนและประเมิณก่อนถึงจะได้คำตอบที่ชัดเจน และในเมื่อจุดเด่นคือหน้าจอที่ทำให้เห็นความตื้นลึกของผิว เครื่อง Ulthera STP ยังมีหัวที่มีความลึกที่แตกต่างเพื่อให้แพทย์สามารถเลือกใช้เพื่อดูแลผิวในชั้นอื่นๆนอกจากชั้น SMAS อีกด้วย (ที่มีความลึกโดยประมาณอยู่ที่ 4.5 mm ) ซึ่งก็มีตั้งแต่หัวแบบ 1.55mm สำหรับการช่วยลดเลือนริ้วรอย หัวแบบ 3.0mm สำหรับชั้นไขมันเพื่อช่วยในเรื่องยกกระชับซึ่งการเลือกใช้หัวชนิดต่างๆนั้นต้องเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ที่ดูตามความเหมาะสมอีกครั้ง ส่วนเรื่องสุดท้ายในเรื่องความเจ็บที่เชื่อว่าใครหลายคนอาจกังวล เอาจริงๆเรื่องความเจ็บนั้นเป็นเรื่องที่อธิบายยากเพราะระดับการทนความเจ็บของแต่ละบุคคลนั้นมีไม่เท่ากัน แต่สำหรับผู้เขียนที่เคยมีประสบการณ์การทำ Ulthera มาตั้งแต่ยุคก่อนเมื่อ10 กว่าปีที่แล้ว และยังคงทำต่อเนื่องมาอยู่เรื่อยๆรู้สึกว่าในเทคโนโลยีปัจจุบันมีส่วนทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเหมือนแต่ก่อน หากแต่เป็นความเจ็บที่รู้สึกจี๊ดๆเหมือนมดกัดเบาๆซึ่งส่วนตัวถือว่าอยู่ในระดับที่ทนได้ ส่วนผลลัพธ์จะเห็นความมต่างได้ทันทีประมาณ 10-20% หลังทำและเห็นผลชัดเจนในเดือนที่ 3 หลังจากที่ร่างกายเริ่มกระตุ้นคอลลาเจนให้ทำงานตามกระบวนการธรรมชาติ

ส่วนจุดเด่นของ Ultraformer III  คงจะเป็นเรื่องของความหลากหลายของหัวที่มีมาให้เลือกมากกว่าเพราะมีตั้งแต่ความลึกที่1.5 mm เพื่อช่วยยกกกระชับคิ้ว หัวในความลึกที่ 2.0mm สำหรับดูแลริ้วรอย หัวในความลึก3.0 mm ที่ช่วยสลายไขมัน หัว 4.5 mm สำหรับการทำงานในชั้น SMAS รวมไปถึงความลึกที่ 6.0 mm สำหรับไขมันชั้นลึก ดังนั้นพญ รัตนนรี จึงบอกว่าส่วนตัวแล้วเครื่องนี้นอกจากจะใช้ในการช่วยยกกระชับและปรับสภาพผิวที่ใบหน้าและลำคอก็สามารถปรับการใช้งานใช้กับส่วนอื่นๆของร่างกายได้เช่นกันอาทิ ต้นแขนหรือรอบเอวแต่ก็หากใครที่ตัดสินใจในบริเวณนั้นๆแน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้จำวนช็อตในการรักษาที่มากขึ้นซึ่งก็เป็นการเพิ่มขึ้นตามพื้นที่ของร่างกาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อไม่มีจอแสดงผลดังนั้นอาจมีความเสี่ยงที่ในบางคนที่มีความตื้นลึกของผิวชั้น SMAS ไม่เท่ากันจะทำให้ความเสถียรลดลง ดังนั้นในบางคนอาจรู้สึกได้ถึงความเจ็บที่มากกว่าเพราะค่าพลังงานอาจจะลงไปในบริเวณที่ไวต่อความรู้สึก นอกจากนี้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้จึงน้อยกว่าโดยเฉลี่ยอาจจะต้องทำซ้ำทุกๆ 6-8 เดือน แต่ต้องยอมรับว่าในเรื่องค่าใช้จ่าย Ultrafomer มีราคาที่ย่อมเยาว์กว่าครึ่งจึงถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้หลายคนให้ความสนใจ

แล้วสุดท้ายแล้วควรเลือกอะไรดี?

เอาจริงๆแล้วส่วนตัวผู้เขียนมองว่าแล้วแต่ความต้องการ หากใครที่อยากเน้นลดไขมันไปด้วยและใช้กับส่วนอื่นๆที่นอกเหนือจากใบหน้า Ultrafomer III ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ส่วนใครอยากได้ความแม่นยำ ความเป๊ะที่มากกว่าและไม่มีเวลากลับมาคลินิกบ่อยๆ Ulthera  STP น่าจะตอบโจทย์

Latest Posts

Don't Miss

Stay in touch

To be updated with all the latest news, offers and special announcements.