จะเป็นอย่างไรเมื่อสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่าง ‘ออร่า’ กลายเป็นเสื้อผ้าที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า? กูตูร์แฟชั่นวีก ประจำฤดูใบไม้ร่วง 2024 มาถึงแล้ว ซึ่งซีซั่นนี้ก็ไม่พลาด Rahul Mishra แบรนด์ไฮแฟชั่นสัญชาติอินเดียที่มาเยือนรันเวย์อีกครั้ง ในคราวนี้ยิ่งทวีความน่าสนใจขึ้นไปอีกด้วยคอนเซ็ปต์ Aura ที่ได้แนวคิดมาจากความศรัทธาในเทพเจ้าของศาสนาฮินดู

All About Aura
Rahul Mishra เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่โดดเด่นเรื่องการคิดนอกกรอบ หลังจากซีซั่นที่แล้วที่รังสรรค์ความงามจากธรรมชาติออกมาในรูปแบบแฟชั่นชั้นสูง รอบนี้มาในคอลเล็กชั่นของจิตวิญญาณและพระพรหมณ์ โดยดั้งเดิมมีความเชื่อตามศาสนาพราหมณ์ว่าพระพรหมณ์คือผู้สร้าง แน่นอนว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำว่าพรหมลิขิตกันมาสักครั้งในชีวิต แท้จริงแล้วก็มาจากความเชื่อที่ว่านี้
พระพรหมณ์เป็นหนึ่งในมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ที่มีออร่าแผ่ซ่านทั่วกายเนื้อ “ยิ่งออร่าของท่านแผ่กว้างขึ้น จักรวาลนี้ก็ยิ่งกว้างขึ้นตาม” ราฮุล มิชร่าผู้เป็นดีไซเนอร์กล่าว

Depth in Design
การถ่ายทอดคำนามธรรมออกมาทางแฟชั่นเป็นเรื่องที่ท้าทายทั้งตัวผู้ออกแบบและเหล่าผู้ชม แต่ถึงอย่างนั้น Rahul Mishra ก็ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง สำหรับฤดูกาลนี้แล้ว การประดับเลื่อมและตกแต่งชุดด้วยแมตทีเรียลระยิบระยับเป็นกิมมิกที่สื่อถึงออร่าตามคอนเซ็ปต์หลักได้อย่างดี


The Ethereal Noir
สีดำ สีแห่งพลังและความยิ่งใหญ่ ถูกใช้เป็นสีหลักในคอลเล็กชั่นนี้ แทนการใช้สีที่หลากหลายตามจุดจักระ เพราะราฮุลต้องการสื่อถึงความลึกลับเป็นนัยรอง บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าสสารมืดและพลังงานมืดเป็นองค์ประกอบของจักรวาล อีกทั้งพลังงานมืดยังส่งผลต่อเอกภพโดยรวมของจักรวาลอีกด้วย ทั้งนี้ก็มีการใช้สีอื่นๆ เข้ามาเป็นส่วนเสริมด้วยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น สสารมืดเป็นสิ่งที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่สามารถให้คำตอบถึงตัวตนของมันได้ แต่ต่างรู้กันดีว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง เหมือนดั่งออร่าและพระพรหมณ์ที่ไม่มีชาวฮินดูคนใดเคยเห็นตัวตนที่แท้จริงของท่าน แต่ต่างเชื่อว่าการมีอยู่และออร่าของท่านเป็นเรื่องจริง
คอลเล็กชั่น Aura เป็นการสื่อสารถึงเรื่องที่จับต้องไม่ได้ให้จับต้องได้ได้อย่างน่าสนใจ และการรังสรรค์ครั้งนี้ยังคงเป็นที่ตระการตาของสายแฟชั่นทุกๆ คน สำหรับกูตูร์แฟชั่นวีกครั้งต่อไป Rahul Mishra จะเข้าร่วมหรือไม่ หรือจะเข้าร่วมในคอนเซ็ปต์ใดก็เป็นที่น่าติดตามกันต่อไป




















































TEXT: YANISA LIKHITAPISIT