บอย-วรรณศิริ คงมั่น co-founder แบรนด์กระเป๋าระดับโลกอย่าง BOYY เป็นอีกหนึ่งสาวในวงการแฟชั่นที่เก่งในทุกบทบาทของชีวิตและสร้างสมดุลให้ตัวเองได้อย่างลงตัวไม่ว่าจะปรากฏกายที่แฟชั่นวีกในโชว์โปรดอย่าง Schiaparelli หรือ Balenciaga ไม่ว่าจะเดินทางไปคุยธุรกิจทั่วโลกหรือใช้เวลาอันแสนอบอุ่นกับครอบครัว
ELLE: คุณสร้างแบรนด์จนโด่งดังในระดับสากล ระหว่างทางมีประสบการณ์สำคัญที่สร้างบทเรียนให้จนถึงทุกวันนี้ไหม?
“โอ้โห มันเป็น 17 ปีแห่งความหลังเลยนะ บทเรียนมีทุกวันค่ะ เพราะเราเริ่มทำแบรนด์แบบไม่มีต้นทุน คือทั้งเรื่องของ know-how ในการทำและในเรื่องเม็ดเงินลงทุน สิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดทางที่ผ่านมาคือ ‘เราต้องเชื่อในสิ่งที่เราทำ’ เมื่อไรที่เราเริ่มคิดสงสัย เราจะหลงทิศทันที แล้วภาพของแบรนด์ก็จะไม่เข้มข้น ความเป็นตัวตนของแบรนด์นั้นสำคัญไม่น้อยไปกว่าการมีโปรดักต์ที่ดี
“มีตอนที่อยากเลิกทำตอนปี 2009 เพราะเบื่อฟีดแบ็กจากโชว์รูมเอเจนต์และจากบายเออร์ที่คอยมาบอกให้เราดีไซน์แบบนั้นแบบนี้ ทำราคาให้ถูกลง ไม่ต้องใช้หนังราคาสูง เขาอยากให้แบรนด์เราอยู่ประเภท ‘contemporary/mid- market’ เป็นแมสมากขึ้นจะได้ขายได้จำนวนเยอะๆ เราบอกไม่อยากทำงานแบบนั้น ผู้จัดการโชว์รูมบอกว่า ‘You will never be a luxury brand’ ประมาณว่าตรงนั้นไม่มีที่ให้เรา เพราะเราไม่ใช่แบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เราแค่เด็ก 2 คน อะไรประมาณนี้
“เราวางจุดยืนของ BOYY ไว้ว่าเป็น young luxury เราไม่ได้อยากเป็น luxury แค่เพราะคำว่า luxury แต่เราตั้งใจอยากสร้างโปรดักต์และแบรนดิ้งที่ดี กลั่นกรองออกมาจากจิตวิญญาณของเราทั้งสองและมีราคาที่เหมาะสม เราสองคนชอบใช้ของที่ทำจากแมตทีเรียลที่มีคุณภาพ เราก็อยากทำงานของเราให้เป็นแบบนั้น ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้น อีก 60 ปี BOYY อาจจะยังมีอยู่และกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเช่นกัน”
ELLE: ในภาพของผู้หญิงเก่งแต่งตัวแซ่บจนเป็นขวัญใจช่างภาพสตรีตแฟชั่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สิ่งนั้นช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ BOYY และต่อตัวเองอย่างไร?
“แซ่บเหรอ (อมยิ้ม) ก็แต่งในแบบของเรา เราไม่ชอบแต่งตัวตามเทรนด์ ก็เหมือนงานที่เราออกแบบค่ะ คือไม่ตามกระแส รักแฟชั่นแต่ไม่เป็นทาสแฟชั่น สิ่งนี้น่าจะทำให้คนที่เห็นเรามีความเชื่อแบบนั้นต่อแบรนด์ด้วย ชื่นใจที่มีคนให้ความสนใจสไตล์ของเรา เพราะตั้งแต่เด็กคนภายนอกจะมองเราแปลกๆ เวลาเราแต่งตัว โตมาก็ยังเคยโดนถามว่าแต่งตัวอะไร ได้ส่องกระจกหรือไม่ ก็มีเสียความมั่นใจและเสียใจ แต่ก็ไม่เคยหยุดรักแฟชั่นนะ ดีใจที่ในที่สุดแฟชั่นคืออาชีพของเรา”
ELLE: คุณมีผู้หญิงคนไหนเป็น role model ของตัวเอง เพราะอะไร?
“ไม่มีใครถึงขนาดเป็น role model แต่จะมีคนที่ปลื้มหนักๆ อย่าง Audrey Hepburn ในการอุทิศตนทำงานด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะเรื่องเด็ก และเป็นคนที่เก๋มากที่สุด Ruth Bader Ginsburg คนนี้เลิฟมาก เป็นนักกฎหมายที่ต่อสู้ให้ผู้หญิงในเรื่องความเท่าเทียม ทัศนคติเปรี้ยว ต่อมาคือ Pamela Anderson อยากให้ทุกคนดูสารคดีใน Netflix ของเธอแล้วจะเข้าใจ สุดท้ายคือ Princess Diana ตอนที่เดินผ่านทุ่นระเบิดเพื่อเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติและขุดย้ายระเบิดเหล่านั้นออก คือเท่มาก เป็นคนสวยทั้งภายในและภายนอก รู้สึกว่าตัวเองจะชอบคนที่มีความขบถเล็กๆ (ยิ้ม)”
ELLE: อีกภาพหนึ่งที่คนทั่วไปเห็นคุณคือการอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวพร้อมคุณเจสซี่และลูกชาย คุณสร้างสมดุลชีวิตในเรื่องส่วนตัวงานและครอบครัวของคุณอย่างไร มีสูตรสำเร็จที่อยากแนะนำผู้หญิงทุกคนไหม?
“ก่อนหน้านี้ก็หาตรงกลางไม่เจอ หาความสุขไม่เจอจนหดหู่ บอยว่ามันไม่มีสูตรสำเร็จนะ แค่เราต้องเข้าใจตัวเองว่าเราถูกใจกับวิธีไหน แล้วก็ค่อยๆ หาไปจนเจอค่ะ
“พยายามทำสิ่งตรงหน้าทีละอย่างให้ดีที่สุด อย่านำทุกอย่างมาปนกัน และที่สำคัญคือต้องมีเวลาให้ตัวเองก่อน เช่น ออกกำลังกาย ทำงานอดิเรก หรือมีเวลาสนุกกับเพื่อนๆ บ้าง แล้วเราจะอยากให้เวลากับครอบครัวต่อไป อย่างของตัวเองคือตอนเช้าเล่นพิลาทิส กลับมาทำงานๆๆๆ พอตกเย็นเมื่อต้องไปรับลูกจะพยายามเคลียร์ทุกอย่างออกจากสมอง ตั้งใจจะไปรับเขาให้ได้ทุกวัน ซึ่งปรากฏว่าการทำแบบนี้กลับทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น เพราะเราต้องแบ่งเวลาให้เป๊ะ ตัดสินใจให้จบ ไม่ลากยาว ส่วนกับสามี เราอยู่ด้วยกันแทบ 24 ชม. อยู่แล้ว ดังนั้น แค่พยายามกินข้าวด้วยกันโดยที่ไม่พูดเรื่องงาน เว้นวรรคสักแปบและเอนจอยช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน”
ELLE: คุณเคยเล่าว่าบางทีเมื่ออยู่กับสามีการคุยเรื่องงานก็เกิดขึ้นได้ตลอดทุกเมื่อได้เหมือนกัน เคยมีปัญหาเวลาไอเดียไม่ตรงกันบ้างไหมและคุณมีวิธีแก้ไขอย่างไร?
“มีตลอดทุกวินาที เพราะเราต้องตัดสินใจในทุกเรื่องด้วยกัน เราดีเบตกันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งยอมรับว่าบางครั้งเราคิดว่าเรามีไอเดียที่ดีแล้ว แต่พอฟังเขาๆ ก็มีความคิดที่น่าสนใจเหมือนกัน เราจะสรุปด้วยความคิดที่เหมาะที่สุด ลึกๆ เรารู้ว่าอะไรคือคำตอบ
“สิ่งที่ทำให้เราทั้งสองทำงานด้วยกันได้ทุกวันคือเรามีเป้าหมายเดียวกัน มีภาพในหัวเหมือนกันในเรื่องแบรนด์และเรื่องธุรกิจ เราเข้าใจตรงกันว่าเราอยากให้ BOYY ไปอยู่ตรงไหน ช่วยให้เรามองข้ามความเห็นต่างในรายละเอียดปลีกย่อย เรามีเรื่องอื่นต้องคิด ต้องตัดสินใจต่อ เราเลยไม่เก็บทุกเรื่องมารวมกัน และเราเริ่มทำ couple therapy ด้วยกัน คือพบนักจิตบำบัด ซึ่งในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะทำเซสชั่นแบบนี้ร่วมกับคนอื่น โดยเฉพาะสามี แต่ผลที่ได้คือมหัศจรรย์!”
ELLE: ในฐานะ co-founder ของแบรนด์ BOYY คุณปรารถนาให้ผู้หญิงทุกคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณแสดงออกถึงความเป็นตัวเองในทิศทางใด?
“เป็นในสิ่งที่เขาเป็นและที่อยากจะเป็น สิ่งที่อยากเป็นอาจจะยังไม่เคยได้แสดงออกมาเลยก็ได้ ‘Be yourself and let your inner self out sometimes.’”
ELLE: หนึ่งในไลน์ผลิตภัณฑ์ของ BOYY คือ BOYY UP ที่เน้นเรื่อง upcycling ในฐานะนักออกแบบหญิงคุณมีความคาดหวังในทิศทางนี้ซึ่งเป็นประเด็นที่โลกแฟชั่นให้ความสนใจอย่างไร?
“สิ่งที่คาดหวังตั้งแต่แรกสำหรับ BOYY คืออยากให้คนที่ใช้ของของเราใช้แบบยาวนาน เพราะเราตั้งใจสร้างสรรค์ทั้งเรื่องการออกแบบและเรื่องของคุณภาพ ส่วนโปรเจ็กต์ BOYY UP เราตั้งใจที่จะทำให้ภาพของการนำของที่มีอยู่แล้วมาผ่านการจินตนาการสร้างสรรค์จนเป็นชิ้นงานใหม่นั้นเด่นชัดยิ่งขึ้น จับต้องได้ ช่วยจุดประกายเล็กๆ ให้คนนำไปคิดต่อ นอกจากนี้เรายังมีการใช้วัสดุทางเลือกอย่าง Recycling Nylon กับคอลเล็กชั่นใหญ่ของแบรนด์ด้วย
ELLE: ‘การประสบความสำเร็จ’ สำหรับคุณอยู่ ณ จุดไหนและในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งเป้าหมายในชีวิตที่แท้จริงคืออะไร?
“สำหรับเรื่องงาน ส่วนตัวไม่คิดว่าจะมีจุดที่พอใจหรือพอแล้ว ไม่มีวันที่จะบอกตัวเองว่าเราประสบความสำเร็จแล้วนะ ฟังดู greedy เนอะ (ยิ้ม) แต่เราทำทุกอย่างมาจากศูนย์ ค่อยๆ ทำจนถึงวันนี้ เราก็เชื่อมั่นว่ามันจะไปได้อีก เลยทำให้หยุดไม่ได้ แต่ในฐานะภรรยาและแม่คิดว่าประสบความสำเร็จแล้วค่ะ ยังไม่สมบูรณ์แบบแต่หาทางเจอแล้ว เป้าหมายในชีวิตคืออยากมีลูกหลายๆ คนแต่ไม่น่าทันแล้ว ตอนนี้แค่ทำให้ครอบครัวมีความสุขเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ได้มีเวลาดูแลคนรอบข้าง ได้มีเวลาอยู่กับคนที่เรารัก”