พาตัวเองมาจาก 0 จนกลายเป็นตัวแม่สายแฟ และเป็นคุณแม่ลูก 3 ที่รู้สึกสมบูรณ์และสมดุลเต็ม 100 เธอบอกเลยว่าพลังมหาศาลจากความรักในตัวเองและความรักในครอบครัวคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ขับเคลื่อนความเป็นอารยา เอ ฮาร์เก็ต ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ELLE: L’Oréal Paris เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของคานส์มาตั้งแต่ปี 1997 คุณเองก็เป็น spokesperson จากประเทศไทยของ L’Oréal ที่เดินพรมแดงที่คานส์ติดต่อกันถึง 7 ปี เบื้องหลังของตำนานบทนี้คืออะไร
“‘แพสชั่น’ ในตอนนั้นเรารู้แต่ว่ามันคือโอกาสที่ดีและเป็นเวทีระดับโลก เพียงแต่บอกไม่ได้ว่าประตูบานนี้จะเปิดไปสู่อะไร แต่ถ้าเชื่อว่ามันดีเราก็จะทำเต็มที่ แพสชั่นส่งเสริมให้เรามาถึงจุดนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคานส์ แฟชั่น หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เพราะบางทีสิ่งที่ได้มาไม่ได้เคาะออกมาเป็นตัวเลขได้ ฉะนั้นแพสชั่นจึงสำคัญ เราต้องมีความสุข ณ ขณะที่ทำสิ่งนั้นๆ และเราให้คุณค่ากับประสบการณ์มาก เราคิดเสมอว่าถ้าใช้แพสชั่นนำทางและเอาสมองติดไปด้วย สุดท้ายแล้วมันจะกลับมาตอบแทนเราอย่างสาสมเอง แม้ระหว่างทางอาจต้องทำอะไรที่คนรอบข้างไม่เข้าใจ หรือต้องต่อสู้กับทัศนคติของคนอื่นที่ตั้งคำถามว่าทำไปทำไม แต่เวลาจะพิสูจน์เอง”
ELLE: คุณเคยพูดไว้ว่าในอดีตเคยมีแฟชั่นพลาดๆ เคยนึกเสียใจบ้างไหมว่าตอนนั้นฉันพลาดไป
“เราบันเทิงมากกว่า คนเราต้องมียุคมืดกันทั้งนั้น อย่างเทรนด์ยุค ’90s หรือยุค 2000s ก็ย้อนกลับมาฮิตในยุคนี้ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปยุคนั้นจริงๆ ก็มีจุดฮานะ แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางที่เราต้องเรียนรู้ตัวเอง มันคือชีวิตนั่นละ”
ELLE: ตอนนี้คุณมาถึงจุดที่เป็นเทรนด์เซตเตอร์ มีเคล็ดลับอะไรที่บ่มเพาะมาไหม
“ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นแบบนั้น เราสนุกกับเทรนด์และยังตามว่าอะไรมา อะไรไป แต่ก็ไม่ได้ตามอย่างเอาเป็นเอาตาย เพียงแต่เป็นคนชอบเรื่องแฟชั่น อัลกอริทึมก็จะส่งแฟชั่นมาให้เรา เราไม่มีวันจะละทิ้งแฟชั่น ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ขวนขวาย เพียงแต่อะไรที่อยู่ในกระแส เราเลือกหยิบจับบางอย่างมาใช้กับตัวเราในแบบที่เราสนุกกับมันได้
“แต่ไม่ว่าเทรนด์จะไปทิศทางใด แก่นกลางความเป็นตัวเรากลับจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งรู้จักตัวเองมากขึ้นเรายิ่งตกตะกอนว่าสิ่งไหนมีดีเอ็นเอของเราอยู่ ไลฟ์สไตล์เราเริ่มนิ่งขึ้น ไม่ได้วิ่งตามอะไรแล้ว เลยไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเทรนด์เซตเตอร์ เพียงแต่สิ่งที่คนมองเห็นเราคือเรากล้าแสดงตัวตนมากขึ้น เพราะอายุมากขึ้น เราก็ยิ่งแคร์อะไรน้อยลง ถ้าเราคิดว่าสิ่งนี้ดีและไม่ได้ดูฝืนเกินไป เราก็จะสนุกกับการแต่งตัวเพื่อตัวเองต่อไป”
ELLE: สไตล์ความเป็นอารยา เอ ฮาร์เก็ต คุณจะนิยามว่าอย่างไร
“แล้วแต่วัน ส่วนหนึ่งที่ชอบไปแฟชั่นวีกเพราะไลฟ์สไตล์ในกรุงเทพฯ ไม่ได้เอื้อให้เราปล่อยของ (หัวเราะ) ถ้าอารมณ์ได้และเวลาเอื้อเราก็จะเสิร์ฟลุคทุกวันเท่าที่จะทำได้ แต่บางวันก็เหนื่อยเพราะลูก 3 แล้วนะ ได้นอนน้อย ฉะนั้นก็ตามสภาพ แต่ลึกๆ แล้วเรารู้สึกว่าตัวเอง young at heart ยังมีอารมณ์ขัน ชอบการ์ตูน ชอบแฟนตาซี ชอบความขี้เล่น หรือตอนนี้เริ่มชอบอะไรที่ตลกร้ายนิดๆ ตอนเด็กๆ เราเคยคิดว่าถ้าโตขึ้นไป เราจะยังชอบ Sanrio อยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าถึงตอนนี้ก็ยังชอบและซื้อให้ลูกบ้าง (หัวเราะ)”
ELLE: คนอาจคิดว่าพอชมพู่มีลูกสาวคงจับแต่งตัวสนุกไปกับคุณแม่ หรือให้ลูกใส่โอต กูตูร์
“ไม่มีทาง! เสื้อผ้าแบรนด์เนมส่วนใหญ่คนให้มา แต่อย่างงานแต่งงานน้องสามี ลูกชายสองคนก็ใส่สูท Zara ส่วนลูกสาว ชิ้นพิเศษก็คือชุด Sretsis ที่ให้ทางแบรนด์ปักให้ แต่ปกติเราไม่ได้ให้ลูกใส่ซูเปอร์แบรนด์อยู่แล้ว เรื่องโอต กูตูร์ตัดทิ้งไปได้เลย เด็กไม่ได้เห็นคุณค่าของกูตูร์ด้วยซ้ำและมันไม่ได้ทำให้ลูกมีความสุขมากขึ้น ฉะนั้นก็ไม่จำเป็น”
ELLE: พลังอะไรที่ขับเคลื่อนให้อารยากลายเป็นคนที่สังคมยังคงพูดถึงอยู่ในทุกวันนี้
“‘ความรักดี’ เรารักตัวเอง และไม่ต้องการจะให้ตัวเองไปอยู่ในจุดที่ไม่แฮปปี้ไม่ว่าจะในทางใดก็ตาม ทุกทางที่เลือก ทุกซอยที่เลี้ยว เราเลือกสิ่งที่คิดว่าดีกับตัวเรา ยิ่งตอนนี้มีครอบครัวและเป็นแม่ ยิ่งต้องคิดว่าอะไรที่ดีสำหรับครอบครัวเราและเป็นสิ่งดีที่ส่งต่อให้ลูกได้ มันไม่ใช่เรื่องการทำตัวให้เป็นตัวอย่างกับลูก แต่เป็นเรื่องของการตัดสินใจและคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาในอีก 5 ปี 10 ปี หรือในวันที่เราไม่อยู่แล้ว ลูกเราจะเป็นอย่างไร มันคือทุกๆ การตัดสินใจในชีวิตเลย ไม่ใช่ว่าอีก 30 ปี ลูกมาเสิร์ชชื่อแม่ในกูเกิ้ลแล้วเจอว่าแม่เคยทำอะไรมา หรือวันนี้ถ้าเราใช้ชีวิตแบบนี้แล้วสุขภาพจะเป็นอย่างไร จะกลายเป็นภาระของลูกหรือเปล่า จะทำให้เราตายเร็วขึ้น จะทำให้เราไม่ได้อยู่ดูความสำเร็จของลูกหรือเปล่า ฉะนั้นครอบครัวคือพลัง นอกเหนือไปจากความรักดีที่เรารักตัวเอง”
ELLE: อยากให้คนจดจำอารยา เอ ฮาร์เก็ต ในแบบไหน
“เรื่องนี้ไม่ใช่แรงจูงใจในการดำเนินชีวิต เราเป็นแค่คนคนหนึ่งที่อยากมีชีวิตที่…ไม่ใช่ว่าเพอร์เฟ็กต์ แต่มีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ทำอะไรที่เดือดร้อนใคร เป็นไปตามครรลอง ความสุขของเราเรียบง่ายมากนะ ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่แล้วจะต้องเป็นแรงบันดาลใจให้ใครได้ แม้ว่าจะมีคนบอกว่าเราเป็นแรงบันดาลใจให้เขา เพียงแต่สิ่งที่เราเลือกทำ เราทำเพราะรักตัวเอง และเชื่อว่าเราควรค่าจะได้สิ่งนั้น มันดีกับเราและครอบครัว นี่คือสิ่งที่ขับเคลื่อนเรามากกว่า”