แตกตื่นกับการกลับมาในรอบ 12 ปีของภาคต่อมิวสิกวิดีโอสุดหักมุมโดย K.Will ฮือฮากับภาพยนตร์และซีรีส์เรื่อง Love in The Big City ที่ถ่ายทอดชีวิตรักของนักเขียนเกย์หนุ่ม ไปจนถึงตื่นเต้นกับภาพยนตร์แซฟฟิกส่งท้ายปีอย่าง Heavy Snow ที่ได้ฮันโซฮีมารับบทนำ เรียกได้ว่าตลอดปีนี้เราได้เห็นตัวละคร LGBTQ+ ผ่านหน้าบันเทิงเกาหลีอยู่บ่อยครั้งจนชวนเซอร์ไพรส์และน่ายินดีในคราวเดียวกัน ราวกับเป็นแสงแห่งความหวังว่า สังคมซึ่งทราบกันดีว่ายังไม่เปิดกว้างทางเพศเท่าไรนัก กำลังจะค่อยๆ เปิดรับความหลากหลายมากยิ่งขึ้น วันนี้แอลจึงอยากพาทุกคนมาสำรวจโลกของ LGBTQ+ ที่ถูกนำเสนอผ่านหลากหลายสื่อบันเทิงเกาหลีไปด้วยกัน
Early LGBTQ+ Work
ย้อนความกันไปถึงยุคแรกเริ่มก่อนกระแส K-Wave หรืออีกชื่อคือ Hallyu จะมาแรงเกินต้านผ่านซีรีส์เกาหลีและเคป๊อบดังเช่นในปัจจุบัน อาจจะเหนือความคาดหมายไปสักหน่อยแต่ก็น่ายินดีในคราวเดียวกัน เมื่อพบว่า แท้จริง LGBTQ+ ก็ได้ปรากฏตัวผ่านสื่อของเกาหลีมาสักพักใหญ่ ดังเช่นภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง King and the Clown ในปี 2005 ที่ได้พระเอกแนวหน้าอย่าง อีจุนกิ มาถ่ายทอดเรื่องราวจากยุคสมัยโชซอน เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมความรักสุดอื้อฉาวระหว่างองค์ราชากับตลกจากคณะละครเร่ ที่ว่ากันว่าสร้างจากเรื่องจริงในพงศาวดารเกาหลี โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายไม่นานนักหลังจาก ‘การรักร่วมเพศ’ ถูกถอดออกจากลิสต์ของการกระทำที่เข้าข่ายเป็นอันตรายและอนาจารโดยคณะกรรมการคุ้มครองเยาวชนเมื่อปี 2004
หรือหากย้อนมาใกล้ขึ้นอีกสักนิด เมื่อปี 2016 มีผลงานภาพยนตร์ที่หลายคนยกให้เป็นมาสเตอร์พีซอย่าง The Handmaiden ภาพยนตร์อีโรติกระทึกขวัญภายใต้การกำกับของผู้กำกับ พัคชานอุค ผู้มักสร้างปรากฏการณ์บนจอเงินของเกาหลีอยู่หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาได้ท้าทายกรอบสังคม ผ่านเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเรื่อง Fingersmith สู่ความรักต้องห้ามระหว่างคุณหญิงและสาวใช้ที่เข้าหาเธอด้วยเจตนาแอบแฝงบางอย่าง โดยมีฉากหลังเป็นเกาหลีในช่วงปี 1930 ยุคสมัยที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น นอกจากงานภาพสุดละเมียดละไมกับการเล่าเรื่องที่ชวนลุ้นระทึกและคาดเดาไม่ได้แล้ว เซ็กซ์ซีนสุดเร่าร้อนของสองนักแสดงหญิงมากฝีมือ คิมแทรี และ คิมมินฮี ยังกลายเป็นที่ฮือฮามาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อพูดถึงภาพยนตร์แล้ว ก็จะไม่พูดถึงซีรีส์เกาหลีซึ่งเป็นสื่อแขนงใหญ่และซอฟต์พาวเวอร์สำคัญที่พาประเทศเกาหลีออกสู่สายตาชาวโลกมาอย่างยาวนานจนถึงตอนนี้ไปไม่ได้ เพราะเราก็ได้เห็นตัวละคร LGBTQ+ ปรากฏตัวผ่านจอแก้วเช่นเดียวกัน และแน่นอนว่ามีมากกว่าเพียงชายหนุ่มที่ตกหลุมผู้ชายอีกคนจนกระทั่งเฉลยว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นผู้หญิงปลอมตัวมา ดังเช่นในซีรีส์ในตำนานอย่าง The Coffee Prince (2007) แต่ยังรวมถึงตัวละครเกย์ในซีรีส์ Secret Garden (2010) ที่ อีจงซอก ในช่วงแรกเริ่มเข้าวงการนั้นรับบทเป็น ฮันแทซอน นักดนตรีอัจฉริยะผู้มีปมในใจทำให้เขาเป็นเกย์ และในซีรีส์ที่เปิดจักรวาล Reply ที่เรารัก อย่าง Reply 1997 (2012) ที่ก็มีตัวละคร คังจุนฮี (โฮยา INFINITE) ที่แอบรักเพื่อนสนิทอย่าง ยุนยุนแจ (ซออินกุก) เช่นกัน
เมื่อหยิบภาพยนตร์และซีรีส์ในตำนานเหล่านี้นี้มาพูดถึงแล้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่าแม้ตัวละครจะต่างเพศสภาพ ต่างยุคสมัย และต่างสถานะทางสังคม แต่เส้นทางความรักของพวกเขานั้นล้วนทรหด รันทด และเต็มไปด้วยความสับสนภายในจิตใจ สะท้อนถึงมุมมองต่อความรักร่วมเพศเดียวกันที่แลดูจะไม่สามารถเป็นไปได้ง่ายในประเทศนี้ ต้องแอบรัก ไม่สมหวัง หรือหากอยากจะมีความสุขร่วมกับคนที่รัก ทางเลือกก็อาจมีไม่มากนัก เช่นออกจากประเทศ หรือแม้แต่จากโลกนี้ไปพร้อมกัน
LGBTQ+ in K-Drama
เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความหวังของเหล่าตัวละคร LGBTQ+ ในซีรีส์เกาหลีก็ดูจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ดังเช่นในซีรีส์ที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วทั้งในและนอกประเทศอย่าง Itaewon Class (2020) ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาหลังเผยจุดพลิกผันของตัวละคร มาฮยอนอี (อีจูยอง) กับความจริงที่ว่า แท้จริงแล้วเธอเป็นทรานส์เจนเดอร์ นับเปิดอีกหนึ่งความแปลกใหม่ในซีรีส์เกาหลี เพราะแม้ที่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพบตัวละครทรานส์ในซีรีส์เกาหลี แต่ก็ไม่ได้บ่อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นการยอมรับในเพศวิถีของทรานส์เจนเดอร์ดังเช่นในซีรีส์เรื่องนี้ นับเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่จุดประเด็นให้ผู้คนหันมาจับตาทิศทางการนำเสนอตัวละคร LGBTQ+ ผ่านสื่อเกาหลีเลยทีเดียว
นอกจาก Itaewon Class แล้ว ยังมีซีรีส์เกาหลีอีกหลากหลายเรื่องที่สอดแทรกประเด็นเพศวิถีของตัวละคร LGBTQ+ เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นรักที่ลืมไม่ได้ของสะใภ้ใหญ่ของตระกูลแชบอลอย่าง จองซอฮยอน (คิมซอฮยอง) ที่เป็นผู้หญิงในซีรีส์เรื่อง Mine (2021) , ความสัมพันธ์จากเพื่อนสู่คนรักของ ยูฮันยาง (อีคยูฮยอง) กับเพื่อนชายที่แจ้งตำรวจจับเขาข้อหาครอบครองและเสพยาเสพติดด้วยรักและหวังดี ใน Prison Playbook (2017), ก้าวข้ามผ่านเฟรนด์โซนของสองเพื่อนซี้ ยุนซล (อีโฮจอง) และ คังจีวาน (ยุนซออา) ใน Nevertheless (2021), จองโอเจ (มุนบิน ASTRO) หนุ่มมัธยมที่ปฏิเสธเพื่อนสาวที่มาสารภาพรัก เพราะเขาเป็นเกย์ใน At Eighteen (2019) และอีกมากมาย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางลิสต์ของซีรีส์ที่แทรกประเด็นของ LGBTQ+ เอาไว้มากมาย เรากลับพบว่าบทบาทของพวกเขานั้นยังมีพื้นที่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่มาเสริมให้เรื่องราวในซีรีส์สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น และเราก็ยังคงรอวันที่จะได้ชมซีรีส์ซึ่งดำเนินเรื่องโดยตัวละคร LGBTQ+ อยู่เสมอ
From Web Novel and Web Toon to Webdrama
ท่ามกลางสื่อใหญ่ที่การเติบโตของพื้นที่ LBGTQ+ นั้นค่อยๆ เพิ่มมาทีละเล็กทีละน้อย ยังมีอีกฟากหนึ่งอย่างนิยายเว็บและเว็บตูนที่ก้าวกระโดดแซงหน้าไปไกลในรูปแบบของ Boy Love และ Girl Love ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามมาจนถึงต่างประเทศอย่างเรา โดยเฉพาะใครที่เป็นสายเสพเว็บตูนล่ะก็ เชื่อว่าจะต้องมีมันฮวาสัญชาติเกาหลีอยู่บนชั้นหนังสือออนไลน์กันไม่มากก็น้อย
อีกหนึ่งเทรนด์การรีเมกซีรีส์ของเกาหลีที่กำลังมาแรงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลังมานี้ ก็คงเป็นการนำเอาเว็บตูนหรือเว็บโนเวลเรื่องดังที่ครองใจผู้อ่านมากมายมาสร้างใหม่ในเวอร์ชั่นซีรีส์หรือภาพยนตร์ ซึ่งแน่นอนว่า Boy Love (BL) และ Girl Love (GL) ก็ไม่พลาดมาร่วมถูกถ่ายทอดใหม่ผ่านคนแสดงด้วยเช่นกัน ดังเช่น Color Rush (2020) เว็บดราม่าที่สร้างจากเว็บโนเวลเรื่องดังที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจนสานต่อมาถึง 2 ซีซั่น และเว็บตูนสุดฮิตอย่าง Semantic Error (2022) ก็ได้กลายมาเป็นเว็บดราม่าในชื่อเดียวกัน นำแสดงโดย พัคซอฮัม และ แจชาน วง DKZ จนเป็นผลงานที่แจ้งเกิดทั้งคู่ด้วยเคมีที่ตรงปกราวกับหลุดออกมาจากเว็บตูน
นอกจากนี้ เว็บดราม่า BL และ GL ซึ่งหลายคนจัดหมวดหมู่ประเภทไว้ว่าเป็น ‘ซีรีส์วาย’ ยังได้ขยับขยายขอบเขตมากกว่าเพียงรีเมกจากเว็บโนเวลและเว็บตูนเท่านั้น เพราะเรายังได้เห็นซีรีส์วายออริจินัลจากเกาหลีที่ทำออกมาเสิร์ฟความฟินให้กับผู้ที่ชื่นชอบ ตลอดจนสร้างสรรค์ในการทำออกมาในรูปแบบที่คล้ายกับ VLOG ที่สมจริงจนเป็นที่ฮือฮาอีกด้วย
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางส่วนที่เว็บโนเวลและเว็บตูน BL ได้ถูกหยิบยกมาถ่ายทอดใหม่ในฉบับซีรีส์ แต่กลับถูกลดทอนรายละเอียดโดยตัดความสัมพันธ์ในเชิงโรแมนติกระหว่างสองตัวละครออกไป จนเหลือเพียงความสัมพันธ์ในคราบของ ‘มิตรภาพลูกผู้ชาย’ อย่างที่เกิดขึ้นกับในซีรีส์เรื่อง High School Return of a Gangster ซึ่งสร้างจากเว็บโนเวล BL ในชื่อเดียวกัน แต่ท่ามกลางความคาดหวังจากบรรดาแฟนๆ นิยายและเว็บตูนต้นฉบับ ทางผู้จัดกลับออกมาชี้แจงว่า “ในฉบับซีรีส์นั้นไม่ใช่ Boy Love อย่างต้นฉบับ แต่เป็น Bromance” จนเกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง
LGBTQ+ in K-POP MV
พูดถึงภาพยนตร์ ซีรีส์เกาหลี เว็บดราม่า ไปจนถึงมันฮวาแล้ว ก็ย่อมจะพลาดเคป๊อบ อีกซอฟต์พาวเวอร์สุดแกร่งของเกาหลีไปไม่ได้! เพราะแม้ส่วนมากจะไม่ได้ปรากฏให้เราเห็นอย่างเด่นชัด แต่ท่ามกลางเพลงที่ถ่ายทอดความรักระหว่างชายหญิง ก็ได้มีมิวสิกวิดีโอเพลง Please don’t ของ K.Will เมื่อปี 2012 กับตำนานตอนจบสุดหักมุมแห่งวงการเพลงเกาหลี นำแสดงโดย ซออินกุก และ อันแจฮยอน ที่ไม่ว่าจะถูกพูดถึงเมื่อไรก็เป็นไวรัลได้ทุกครั้ง กับความกล้าที่จะเล่าเรื่องราวความรักร่วมเพศเดียวกันท่ามกลางสายตาของสังคมที่ยังไม่เปิดกว้างในยุคนั้น
รวมไปถึงมิวสิกวิดีโออีกจำนวนไม่ใช่น้อยที่แอบสอดแทรกสัญญะชวนให้เราวิเคราะห์ความสัมพันธ์อันมีพิรุธของตัวละคร ตั้งแต่เพลง Heart Attack สุดน่ารักสดใสของ Chuu อดีตสมาชิกวง LOONA กับเรื่องราวการถูกเสน่ห์ของเพื่อนร่วมวงอย่าง Yves กระแทกใจเข้าอย่างจัง หรือความสัมพันธ์ของสองสาว MOONBYUL วง MAMAMOO และ Seori ในเพลง SHUT DOWN, การใช้เวลาร่วมกันในช่วงเวลาสุดพิเศษของผู้หญิงทั้งสองในเพลง Wish Tree ของ Red Velvet, แม้กระทั่งช่องว่างระหว่างมิตรภาพที่น่าจับตาของ Wonpil และ Sungjin ในมิวสิกวิดีโอไตรภาคของ DAY6 อย่าง What Can I Do, I Loved You และ When You Love Someone ตลอดจนเพลงของศิลปิน LGBTQ+ อย่าง Holland
New Generation, New Hope
และแล้วในปีนี้ ก็ดูจะเป็นเรื่องน่ายินดีที่เราได้เห็นการนำเสนอ LGBTQ+ ผ่านสื่อบันเทิงเกาหลีอย่างกว้างขวางและด้วยสายตาที่ไม่มองว่าแปลกแยกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการหยิบเอานวนิยายขายดีอย่าง Love in the Big City มาสร้างเป็นภาพยนตร์และซีรีส์ในชื่อเดียวกัน แถมยังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์และออกอากาศในเวลาไล่เลี่ยกัน และต่างก็คว้าตัวนักแสดงนำที่เราต่างคุ้นหน้าคุ้นตามาร่วมถ่ายทอดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นซีรีส์ที่โฟกัสไปยังชีวิตรักของ โกยอง นักเขียนเกย์กลางเมืองใหญ่ที่ต้องประสบพบเจอกับความสัมพันธ์ในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความรักที่พาเขาโบยบินไปยังจุดสูงสุด หรือแม้กระทั่งความรักที่ฉุดเขาลงสู่เหว ซึ่ง นัมยุนซู ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีทั้งในและนอกซีรีส์ เพราะแม้จะต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์อยู่มาก แต่เจ้าตัวกลับยืนหยัดที่จะนำเสนอเรื่องราวนี้อย่างไม่สะทกสะท้าน ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าวงการบันเทิงเกาหลีเริ่มมีความกล้าที่จะก้าวข้ามผ่านกรอบเดิมๆ ไปอีกระดับแล้ว
และทางฟากของภาพยนตร์ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ที่ได้ คิมโกอึน และ โนซังฮยอน มาเล่าเรื่องของเหล่าผู้ที่อยู่นอกกรอบอย่างหญิงสาวหัวขบถและนักเขียนเกย์หนุ่มพร้อมสะท้อนสายตาจากสังคมที่พวกเขาต่างต้องเผชิญ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้เปิดตัวครั้งแรกในงาน Toronto International Film Festival รวมถึงเข้าฉายในต่างประเทศและกวาดคำชมอย่างล้นหลาม เช่นกันกับในประเทศไทยของเรา
และอีกหนึ่งภาพยนตร์ส่งท้ายปีที่หลายคนตั้งตา ก็คงจะเป็นเรื่อง Heavy Snow ภาพยนตร์รักแซฟฟิกเรื่องแรกของนางเอกสาวมากเสน่ห์อย่าง ฮันโซฮี ที่ประกบคู่กับ ฮันแฮอิน ถ่ายทอดความรักของสองสาวเมื่อฤดูหนาวมาเยือน ซึ่งเตรียมจะเข้าฉายในไทยและหลอมละลายทุกหัวใจไปด้วยกันในโรงภาพยนตร์
นอกจากนี้ การกลับมาโคจรกลับมาร่วมงานกันของ ซออินกุก และ อันแจฮยอน ในรอบ 12 ปี เพื่อสานต่อมิวสิกวิดีโอเพลง No Sad Song For My Broken Heart ของ K.Will ยังสร้างความเซอร์ไพรส์นับตั้งแต่วันแรกที่เผยตัวอย่าง ไปจนถึงวันที่เอ็มวีถูกปล่อยออกมา กับการขยายความสัมพันธ์ของสองตัวละคร พร้อมทิ้งท้ายตอนจบเอาไว้อย่างหักมุมตามสไตล์อีกเช่นเคย
รวมไปถึง Derre เพลงใหม่ล่าสุดของ BIBI นักร้องสาวเสียงเอกลักษณ์ที่ดึงตัวนางเอกสาว จอนจงซอ มาสวมบทหญิงสาวที่ทำเธอตกหลุมรักหัวปักหัวปำ เป็นมิวสิกวิดีโอที่ถ่ายทอดชีวิตรักสาวแซฟฟิกอย่างตรงไปตรงมา และการรวมพลเหล่า LGBTQ+ ในเพลง Colors ของ Solar MAMAMOO ที่ตอกย้ำว่าไม่ว่าคุณจะอยากเป็นสีสันใดก็ไม่สำคัญ เพราะเราล้วนแต่งแต้มความงามให้แก่โลกใบนี้ทั้งสิ้น
ปิดท้ายด้วยการกลับมาเฉิดฉายในวงการบันเทิงอย่างงามสง่าของ ฮงซอกชอน ศิลปินผู้ถือเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของ LGBTQ+ ในเกาหลี ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกตั้งคำถามเรื่องเพศวิถี และการตอบอย่างซื่อตรงว่า “ผมเป็นเกย์” ก็ทำให้เขาต้องถูกไล่ออกจากวงการเป็นระยะเวลายาวนาน แต่เพราะความพยายามอย่างไม่มีย่อท้อ ในที่สุดเขาก็กลับมายืนในจุดที่ตนควรคู่พร้อมเผยตัวตนได้อย่างเต็มภาคภูมิ แถมยังเป็นไวรัลอย่างฉุดไม่อยู่ผ่านรายการ Hong Seok Cheon’s Jewelry Box ที่เปิดกรุสมบัติของฮงซอกชอนมาเป็นเหล่าศิลปินและนักแสดงซึ่งตบเท้ากันมาออกรายการอย่างไม่ขาดสาย ทั้ง RIIZE, แทยง NCT, บยอนอูซอก, ฟีลิกซ์ Stray Kids, จูยอน THE BOYZ และอีกมากมาย ทำให้เราได้เห็นภาพลักษณ์ที่แปลกใหม่ในวงการบันเทิงเกาหลีอีกด้วย