ในยุคสมัยที่ความงามสร้างได้ทั้งภายในและภายนอก แตน ชุติมา อัศนีรดากร CEO สาวผู้เปี่ยมไปด้วย Passion ของ EDENCOLORS กับการนำตัวช่วยเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิง เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด
ELLE: อยากให้คุณแตนเล่าให้ฟังถึงความเป็นมาและ Story ของ EDENCOLORS ให้แฟนๆ ELLE Thailand ได้รู้จักหน่อยค่ะ
“จริงๆ ตอนแรกตัวบริษัทมีบริษัทชื่อว่า อีเด็นคัลเลอร์ โปรตุเกส ซึ่งที่โปรตุเกสเป็นโรงงานเอนไซม์ ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ไม่ใช่สารเคมี ไว้สำหรับส่งโรงงานย้อมผ้าหรือโรงพยาบาลที่เอาไปแช่พวกเครื่องมือแพทย์โดยที่จะไม่ใช้สารเคมี ตอนที่เราจัดตั้งบริษัท อีเด็นคัลเลอร์ ขึ้นมาในประเทศไทยครั้งแรก แผนเดิมคือตั้งใจจะมาทำฝั่งโรงงาน แต่ด้วยความที่เราเองมี Background ทำงานในฝั่งของผู้แทนยาเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ที่ขายคุณหมอ พอเราได้ลองมาทำฝั่งโรงงานแล้วเรารู้สึกว่าเราไม่ชอบ เราเลยมองหาตัวธุรกิจที่เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เราถนัดและก็เป็นสิ่งที่เรารัก เป็นที่มาที่ไปของ อีเด็นคัลเลอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ที่มาจับวงการ Aesthetics ในประเทศไทยค่ะ”
ELLE: จากเทรนด์หรือกระแสงานผิวที่กำลังมาแรงในปัจจุบันนี้ ทาง EDENCOLORS มีโปรแกรมหรือเทคโนโลยีอะไรบ้างที่ตอบโจทย์เทรนด์เหล่านั้น
“EDENCOLORS ถือว่าเป็นบริษัท Thai owner นะคะ คือต้องบอกเลยว่าบริษัทในวงการความงามก็จะมีทั้งบริษัทที่เป็น อินเตอร์เนชั่นแนล ยุโรป อเมริกา หรือเกาหลีเองก็มาทำการตลาดในประเทศไทย สำหรับเทรนด์เรามองว่า strong point ของ EDENCOLORS คือเรานำนวัตกรรม นำเทรนด์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดก่อนคนอื่นเสมอ อย่างเช่นเมื่อก่อนเรามีตัวผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า BABI (บาบิ) ตัวนี้ก็จะเป็นพวกกลุ่มปรับรูปหน้า หน้ากระชับ ซึ่งเมื่อ 8 ปีที่แล้วตัว BABI นี้ ถ้าถามคนที่อยู่ในวงการคลินิกก็จะรู้จักกันดี ซึ่งในตลาดมันมีมานานแล้ว แต่มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนไม่อยากร้อยไหม เพราะร้อยแล้วหน้าบวม หน้าช้ำ มีแผลเป็น แล้วมันไม่คุ้มกับที่หน้าบวม เราก็เลยไปเอานวัตกรรมที่เป็นไหมร้อยหน้าแบบ ‘ไหมโครงตาข่าย’ มาใช้ ซึ่งใช้จำนวนไหมน้อยแต่กลับช่วยให้หน้ายกกระชับได้ดี เป็นกลุ่มของคนไข้ที่ใช้เครื่องแล้วไม่เห็นผลแต่ยังไม่อยากไปผ่าตัด จึงเป็นนวัตกรรมที่เรานำเข้าเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย และเป็นคนที่นำเทรนด์ในเรื่องของงานผิวด้วย ตอนนี้จะเห็นว่างานผิวมาแรงมาก และเราก็เป็นเจ้าแรกที่จด อย. Skin Biostimulator ผ่านในประเทศไทย เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับใบหน้า ตัวสารจะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้ส่วนผสมเดิมซึ่งใช้ในไหมเย็บแผลอยู่แล้ว ตัวผลิตภัณฑ์นี้ไม่เน้นในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงรูปหน้าคนไข้ แต่ทำให้คนไข้มีผิวที่กระชับขึ้น ดูเด็กลง โดยที่คุณยังเป็นตัวของตัวเองอยู่ค่ะ”
ELLE: อยากให้คุณแตนพูดถึงเทรนด์ความงามในประเทศไทย ณ เวลานี้
“เราเชื่อว่าอีกประมาณ 5-10 ปี คนจะแก่ช้าลงไปอีกทั้งภายนอกและภายในเลยนะคะ เรามองว่ามันเป็น combination กัน ภายในก็คือเรื่องของการดูแลสุขภาพ การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร หรือการที่จะเลือกทานวิตามินเสริม แต่บางทีสวยจากภายในก็ต้องดูแลจากภายนอกด้วย เพราะเราต้องยอมรับว่า first impression ในการที่เราจะสื่อสารกับใคร เรามองว่าภาพลักษณ์ภายนอกมันก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่มันก็เป็นสิ่งที่จะสื่อสารกับคนเพื่อเป็นความประทับใจแรก เราเลยมองว่ามันค่อนข้างสำคัญ นี่คือในเรื่องของการติดต่อสื่อสารนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องของตัวเอง เรากลับมองว่าการที่เราได้เห็นตัวเองในแบบที่เรารู้สึกว่าสวย เรารู้สึกว่าเราสดใส มันก็เป็นอะไรที่เป็นพลังบวกให้กับตัวเอง เราคิดแบบนั้นค่ะ”
ELLE: ผลิตภัณฑ์ที่อยู่เบื้องหลังความงามในประเทศไทยโดยคุณแตน-ชุติมา
“จริงๆ ผลิตภัณฑ์มีเยอะกว่าที่พูดไปก่อนหน้านี้ค่ะ อย่างผลิตภัณฑ์ BABI ทุกคนจะรู้จักเราอยู่แล้ว แต่ล่าสุดมีผลิตภัณฑ์ตัวที่สองชื่อว่า Tesslift ที่กล่าวไปว่าเป็นไหมยกกระชับ ตัวนี้ร้อยได้ตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงคอเลย คือใช้ไหมน้อยแต่หน้าคนไข้ยก เหมาะสำหรับคนที่อยากเห็นผลเร็ว ซึ่งปัจจุบันมี effect น้อยมากหลังจากที่ทำ เพราะหมอไทย skill ดีขึ้น ต่อมาคือตัว GOURI ที่บอกว่าเป็นตัวแรกแล้วก็เป็นตัวนำเทรนด์ของงานผิว มีคุณสมบัติเป็น skin biostimulator ทำให้รูปหน้าเป๊ะ หน้าพุ่ง แล้วก็ปีหน้าจะมีโบท๊อกซ์ที่จะนำเข้ามาค่ะ เป็น Botulinum Toxin ซึ่งในประเทศไทยเราจะขายแต่ผลิตภัณฑ์ที่เราเป็น Sole Distributor เท่านั้น เราอาจจะเห็นว่า มีหลายบริษัทที่เอาโบท๊อกซ์หรือฟิลเลอร์เข้ามา แต่เขาไม่ได้เป็น Sole Distributor อันนี้พูดแบบทั่วไปนะคะ โบท๊อกซ์ที่เราจะเอาเข้ามาเป็น Made in Korea ซึ่งในตลาดเมืองไทยตอนนี้มีอยู่ 3 เจ้าที่จดทะเบียนถูกต้อง เรากำลังจะเป็นเจ้าที่ 4 ที่เป็น Sole Distributor ในตอนนี้ ความพิเศษคือ เป็น Korean Botulinum Toxin ที่มี Raw Material มาจากสวีเดน และกลุ่มเป้าหมายของเราก็คือ Medium – High target ค่ะ”
ELLE: เทคโนโลยีและนวัตกรรมตัวเด่นของ EDENCOLORS แต่ละชนิดเหมาะกับปัญหาผิวแบบไหน
“ด้วยความที่ตัวผลิตภัณฑ์ของบริษัทเรามีหลายไลน์ เพราะฉะนั้นอย่างตัว BABI จะเหมาะกับคนที่มีรูปหน้าใหญ่ แล้วไหมโครงตาข่ายจะเหมาะกับคนที่หน้า sagging หรือหน้าหย่อนยาน กลุ่มนี้ถ้าใช้เครื่องอาจจะไม่เห็นผลของความยกกระชับ จึงเหมาะกับไหมโครงตาข่าย ส่วนตัว GOURI เหมาะกับทุกวัยเลยค่ะ ฉีดได้ตั้งแต่หน้า คอ หรือจุดอื่นๆ ก็ได้ ซึ่งเราจดทะเบียนสำหรับใบหน้าแล้ว จะใช้แค่กับใบหน้าอย่างเดียวค่ะ”
ELLE: อธิบายถึงเทคโนโลยีสุดล้ำ 𝐂𝐄𝐒𝐀𝐁𝐏 และ GOURI ทั้งสองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
“GOURI คือสาร PCL (Polycaprolactone) มีลักษณะเป็นของเหลวที่สามารถฉีดเข้าสู่ชั้นผิวได้โดยตรง จะออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวดูเต่งตึงกระชับขึ้น ริ้วรอยจางลง กระจ่างใสและอิ่มฟู เหมือนกับการฉีดสารเข้าไปในตัวหรือในหน้า แล้วสารตัวนี้จะไปกระตุ้นในหน้าเราที่มีเส้นใยซึ่งเรียกว่า fibroblast ซึ่งมีหน้าที่ในการผลิตคอลลาเจน เวลาที่เรากดหน้าแล้วหน้ามันเด้งอะค่ะ มันเกิดจากเส้นใยคอลลาเจนที่มันเยอะ มันฟู พอเวลาที่เราอายุมากขึ้น คอลลาเจนจะสร้างได้น้อยลง นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผิวเราถึงดร็อป การไปทำให้ร่างกายกระตุ้นคอลลาเจนมันก็มีวิธีการทำได้หลายแบบ เช่น การใช้พวกคลื่นไฟฟ้า RF (Radio Frequency) การฉีดสารต่างๆ แต่ว่าการที่เราฉีดตัว GOURI ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในวงการการแพทย์ในการทำหัตถการมานานแล้ว (ประมาณ 20-30 ปีมาแล้ว) ซึ่งห้องแล็บที่เกาหลีได้เอาสารตัวนี้มาผสม CESABP Technology ซึ่งทำให้ PCL มาผสมเป็นเนื้อเดียวกับน้ำโดยที่ไม่ตกตะกอน เพราะโดยปกติผงกับน้ำ เมื่อนำมาเขย่าผสมกันแล้วทิ้งเอาไว้ก็จะตกตะกอน ซึ่งตะกอนก็จะกลายเป็นเม็ดบีทในเวลาต่อมา คือถ้าเราผสมยาแล้วมันไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน สำหรับ long term เมื่อฉีดเข้าหน้าคนไข้ มันอาจจะไปเกิดเนื้อที่เหมือนเป็นก้อนใต้ชั้นผิวได้ ลักษณะเป็นก้อนเนื้อนูนขึ้นมาเลย อาจจะยิ่งกว่าพังผืดเพราะพังผืดมันคือคอลลาเจนที่มันสร้างเยอะเกิน หรือถ้าพูดให้เห็นภาพคือแผลเป็นนั่นเอง”
“การที่มันมีการตกตะกอน ภาษาแพทย์เรียกว่า microparticle หรือภาษาชาวบ้านคือสารแขวนลอย ถ้าสมมติเราเกิดฉีดไปโดนเส้นเลือดขึ้นมา (ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะเราเชื่อว่าคุณหมอทุกท่านต่างก็ตั้งใจที่จะรักษาคนไข้อย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) คือเส้นเลือดในใบหน้าเรามีตั้งแต่เส้นเลือดใหญ่ไปจนถึงเส้นเลือดเล็ก แล้วถ้าเกิดตัวสารแขวนลอยที่เป็นเม็ดๆ ไปอุด มันจะไปทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด เคยได้ยินไหมค่ะที่คนไข้ฉีดฟิลเลอร์กับคนที่ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางแล้วตาบอด ก็เพราะมันไปโดนหลอดเลือดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งตอนนี้ CESABP Technology หรือการที่ทำให้ตัว PCL กับน้ำเป็นเนื้อเดียวกันโดยไม่ตกตะกอน และไม่มีสารแขวนลอย มันก็เพื่อความปลอดภัยของสินค้าที่ใช้ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ปล่อยออกมาประมาณ 3 เกือบ 4 ปีในยุโรปหรือทั่วโลก ยังไม่เคยมีรายงานเลยว่ามีการเกิดก้อนเนื้อหรือการอุดตัน หมอที่ใช้เขาก็หมดกังวล ตัวคนไข้เองก็รู้สึกสบายใจที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ แล้วเห็นผลไวด้วย (จริงๆ แล้วบริษัทเคลมว่า 1 เดือน) แต่จากที่เห็นผลลัพธ์จากคนไข้ เพียงสัปดาห์เดียวก็เริ่มเห็นผลแล้วค่ะ เห็นผลเร็วกว่าผลิตภัณฑ์ตัวอื่นด้วย ซึ่งโดยหลักแล้วผลิตภัณฑ์นี้ไม่ได้ทำให้หน้าฟู แต่ผิวจะเด้งขึ้นจากการที่คอลลาเจนได้สร้างขึ้น เพราะฉะนั้นคอนเซ็ปต์คือคุณยังเป็นตัวเองที่ดูสดใสและดูเด็กลง หน้าเด้งขึ้น”
ELLE: อยากให้คุณแตนแนะนำการดูแลผิวให้กับคนที่เพิ่งเริ่มต้นดูแลผิวหน่อยค่ะ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่เคยผ่านการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใดบนใบหน้ามาเลย เพราะหลายๆ คนอาจจะกลัวการทำทรีตเมนต์หน้าโดยใช้เครื่องมือแพทย์
“อย่างแรกเลยเราต้องดูช่วงอายุก่อน สองคือการใช้ชีวิตของเรา สมมติว่าเรายังเด็กอยู่ ไม่เกิน 25 พูดเลยว่าร่างกายยังสร้างคอลลาเจนได้ดี ถ้ากรณีนี้เราแนะนำเลยว่าคุณอาจจะยังไม่ต้องฉีดอะไรเยอะมาก อาจจะแค่ใช้คำว่าบำรุง ส่วนตัวคิดว่าเด็กรุ่นที่อายุไม่เกิน 25 แค่ทำเลเซอร์ก็โอเคแล้ว หรืออาจจะมีฉีดโบท็อกซ์กรามถ้าอยากให้หน้าดูเรียว แล้วก็ใช้ทรีตเมนต์ นวดหน้า ใช้สกินแคร์ที่ดี กันแดดที่ดี ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าถึงตอนที่อายุแตะ 30 อันนี้เป็นจุดที่คุณต้องบำรุงแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราบำรุงได้เร็วมันก็จะดีกว่ารอให้มีรอยเยอะแล้วค่อยมารักษา ถ้าเราบำรุงตั้งแต่เนิ่นๆ ที่เริ่มจะมี aging ก็จะยิ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำ treatment มันดีขึ้น นอกจากการจะทำแบบนวดหน้า ใช้ตัวครีมที่เหมาะกับสภาพผิวของเรา การดูแลรูปลักษณ์ภายนอกโดยการเข้าคลินิกก็สำคัญ หรือแม้กระทั่งกับการนอน การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร มันสัมพันธ์กันหมดค่ะ เพราะบางทีจะเห็นว่าบางคนไปทำหน้าที่คลินิกแต่ว่าก็ยังรู้สึกว่าทำไมมันไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ ก็ต้องย้อนกลับไปว่าคุณนอนกี่โมง นอนวันละกี่ชั่วโมง คุณมีความเครียดมั้ย คุณรับประทานอาหารอย่างไร คุณออกกำลังกายหรือเปล่า มันเป็นอะไรที่สัมพันธ์กันหมดเลยค่ะ”
ELLE: คุณแตนคิดเห็นอย่างไรกับความคิดที่ว่า “สวยจากภายในสู่ภายนอก”
“คำว่าสวยจากภายในสู่ภายนอกมันเป็นอะไรที่สัมพันธ์กับร่างกายหมดเลยค่ะ อย่างคนที่ผิวใส เพราะเขาออกกำลังกายเลือดสูบฉีดดี ร่างกายหลั่ง endorphins แต่แน่นอนว่าริ้วรอยมันไม่ได้รักษาได้ด้วยสิ่งพวกนี้อย่างเดียว เพราะว่าริ้วรอยมันเกิดจาก gravity ของร่างกายและการที่เราใช้ใบหน้าและกล้ามเนื้อเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้ต่อให้เราออกกำลังกายดี เราทานอาหารดี เราใช้ครีมดี แต่ gravity ร่างกายหรือว่า aging มันช่วยไม่ได้ เหตุนี้แหละค่ะว่าทำไมเราต้องพึ่งคลินิกความงาม”
“สำหรับคนที่รู้สึกไม่กล้าทำหัตถการ เราอาจจะเริ่มจากการนวดหน้า หรือเริ่มใช้ devices ที่เป็นเครื่องก่อนก็ได้ค่ะ ไม่ได้บอกว่าผู้หญิง 40 ต้องทำทุกคนนะคะ มันต้องอยู่ที่ความพึงพอใจด้วย เพราะฉะนั้นต้องถามก่อนว่าวันนี้เราพึงพอใจกับหน้าของตัวเองแล้วหรือยัง แต่ถ้าเรารู้สึกว่าอยากได้อีกนิดหนึ่ง เราก็เริ่มจากหัตถการที่มันอาจจะไม่ได้ aggressive มากค่ะ”
ELLE: ตอนนี้อุตสาหกรรมความงามล้ำหน้าไปถึงไหนแล้ว จะเป็นไปได้ไหมถ้าเราอายุแตะหลัก 7 เราจะสามารถดูอ่อนเยาว์จนลดอายุตัวเองลงไปแตะเลข 4-5 ได้
“คือเรามองว่าวันนี้อุตสาหกรรมความงามในประเทศไทย ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้คือหนึ่งใน Top 3 นะคะ ซึ่งในอนาคตการเติบโตจะขึ้นไปสูงมาก ข้อมูลครึ่งปีที่แล้วกับครึ่งปีนี้มาเทียบกันคือเติบโตแบบก้าวกระโดดมากๆ นั่นหมายความว่าคนหันมาดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอกมากขึ้น คนหันมาใส่ใจในภาพลักษณ์มากขึ้น จากเมื่อก่อนตลาดนี้เป็นตลาด blue ocean ตอนนี้กลายเป็น red ocean ไปแล้ว นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามีผู้เล่นมากขึ้น ตอนนี้คลินิกเยอะมากกว่าเซเว่นอีเลเว่นอีกค่ะ นั่นหมายความว่า มันแสดงให้เห็นแล้วว่าผู้คนในปัจจุบันให้ความสนใจกับเทรนด์ธุรกิจความงามเยอะมาก แล้วถามว่าอย่างวันนี้เราต้องยอมรับว่าเรื่องของความงามเป็นเรื่องหัตถการนะคะ ตัวเราเองนำเข้าสินค้าจากเกาหลี แต่เราไม่เคยไปฉีดหน้าที่เกาหลีเลย เราก็ฉีดหน้ากับแพทย์ไทยเหมือนกัน เพราะเรารู้สึกว่าจริงๆ แพทย์ไทยเก่ง และด้วยความที่คนไทยไม่ค่อยมีอีโก้ เพราะฉะนั้นคนไทยจะค่อนข้างเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วเราเชื่ออย่างยิ่งว่าต่อไปผู้หญิง 70 จะเหมือนผู้หญิง 50 เพราะเดี๋ยวนี้ผู้หญิง 40 ก็ไม่เหมือน 40 แล้วนะคะ ผู้หญิง 40 เหมือนผู้หญิง 30 เพราะว่าเทรนด์สุขภาพและความงามมันมาแรงจริงๆ เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าด้วยยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไป คนให้ความใส่ใจกับรูปลักษณ์ภายนอก เราจึงเชื่อว่าเทรนด์สุขภาพในอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้า ผู้หญิง 70 ก็จะเหมือน 50 ผู้หญิง 40 ก็จะเหมือนผู้หญิง 30 ค่ะ”
ELLE: ถ้าโลกนี้ไม่มีวงการบิวตี้ คิดว่าโลกเราจะเป็นอย่างไร
“ถ้าโลกนี้ไม่มีความงาม เราเชื่อว่าคนก็คงจะดูแก่กันหมด ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเป็นเรื่องของ self-respect หรือความพึงพอใจ อย่างเรื่อง first impression ทุกอย่างเริ่มต้นมาจากบิวตี้ การที่เราดูดีจากภายนอกเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารทุกอย่าง ซึ่งเรามองว่าการลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนกับตัวเอง คือถ้าไม่มีวงการบิวตี้คนก็คงจะดูแก่สมวัยเหมือนกันหมด และก็คงไม่มี Top 3 ดาวรุ่งด้านธุรกิจในประเทศไทยค่ะ (ยิ้ม)”