หลังจากประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับการจัดงาน LV Creative Talk เมื่อปีที่ผ่านมา ภายใต้หัวข้อ ‘The Power of Architecture in the Luxury Industry’ ณ LV The Place Bangkok พื้นที่ที่กลายมาเป็นจุดศูนย์รวมซึ่งถูกใช้เป็นทั้งจุดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน คาเฟ่ ร้านอาหาร ตลอดจนบูติดประจำเมซง ในปีนี้ Louis Vuitton ก็ได้ต่อยอดความคิดริเริ่มในการจัดงานเสวนาที่เปี่ยมไปด้วยความสร้างสรรค์นั้นขึ้นอีกครั้ง กับหัวข้อ ‘Beyond The Plate : Food as Cultures, Connection and Convergence’ ที่ชวนทุกคนมาพูดคุยถึงวัฒนธรรมที่โยงใยทุกคนเข้าด้วยกันอย่าง ‘อาหาร’
ผู้ร่วมเสวนาในครั้งนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีความชำนาญและเปี่ยมประสบการณ์ด้านอาหาร รวมไปถึงได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ Louis Vuitton มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Gaggan Anand จาก Gaggan at Louis Vuitton กรุงเทพ และเชฟ Yosuke Suga จากร้าน Sugalabo V โอซาก้า ผู้มีวิสัยทัศน์ระดับโลกและเป็นส่วนหนึ่งของ LV Culinary Community ร่วมด้วย Amal Khalaf คิวเรเตอร์ผู้คร่ำหวอดในวงการศิลปะและอาหาร รวมไปถึงแขกจากหลากหลายวงการที่มาร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็น เชฟ นักชิม นักออกแบบ ศิลปิน หรือแม้กระทั่ง นักเรียนทางด้านอาหาร
ประเดิมด้วย Gaggan Anand เชฟชาวอินเดียผู้กลายมาเป็นหนึ่งในเสาหลักในการแท็กทีมกับ Louis Vuitton เพื่อเปิดร้าน Gaggan at Louis Vuitton ที่กรุงเทพฯ ในปี 2024 จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และคว้าลำดับที่ 31 ของ Asia’s 50 Best Restaurants ในปี 2025 นั้น ก็ได้เล่าถึงมุมมองในแวดวงอาหารว่า “เราอยู่ในยุคที่มักให้ความสนใจกับสิ่งใดเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ การไปร้านอาหาร สัมผัสประสบการณ์ไฟน์ไดนิ่งเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ มันเหมือนกับโรคร้าย กลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของตัวอาหารหรือเชฟอีกต่อไป คือแค่การได้เช็กลิสต์ จึงน่าท้าทายมากเพราะเป็นเรื่องของกระแสแฟชั่นความนิยม แต่ละซีซั่นคุณต้องคอยคิดอะไรใหม่ๆ ไม่งั้นคุณจะกลายเป็นคนน่าเบื่อ และหากอาหารออกมาไม่ดีพอ ภายใน 3 เดือนคุณจะถูกลืมทันที ผมเลยคิดว่า ทำแบบนี้ดูเป็นยังไง? ผมอยากกระตุ้นทั้งประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของคุณ และดึงตัวคุณไว้สัก 2 ชั่วโมงครึ่ง ให้เหมือนอย่างที่คอนเสิร์ตควรจะเป็น เหมือนอย่างที่ในโรงละครควรจะเป็น คือการปะทุทางอารมณ์ความรู้สึก ได้ดื่มด่ำไปกับมัน และได้ซึมซับในเรื่องของวัฒนธรรม”
ขณะที่ Yosuke Suga จากร้าน Sugalabo V โอซาก้า ร้านอาหารร้านแรกของ LV Culinary Community ก็ได้มาร่วมแสดงมุมมองในงานนี้ด้วยเช่นกัน “คราวก่อนเราพูดคุยกันถึงเรื่องสถาปัตยกรรม ตัวสถาปนิก ตัวศิลปินผู้ต่างทำงานในพื้นที่ของตัวเอง แต่สำหรับเชฟแล้วนั้น สำหรับผู้ที่ทำงานภายในครัว คลุกคลีกับอาหาร มันเลยต่างกันไปสักหน่อย ในร้านอาหารนั้น เรามีทีมงาน เราเสิร์ฟผลงานของเราในรูปแบบของอาหารให้กับลูกค้า เราแชร์อะไรแบบนั้นให้กับพวกเขา นั่นคือสิ่งที่เราทำในทุกๆ วัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าในตัวเรา เหตุผลที่ผมสามารถทำแบบนั้นซ้ำเดิมทุกวันเพราะผมรักในการอยู่กับผู้คน เหมือนที่อาจารย์ของผม โจแอล โรบูชง เคยกล่าวว่า การทำอาหารคือการแสดงออกถึงความรักอย่างหนึ่ง คุณต้องมีคุณสมบัตินี้ ถ้าคุณขาดซึ่งความรัก คุณจะทำมันทุกวันไม่ได้ เมื่อเราชอบแบ่งปันความรักให้ลูกค้า เราก็จะอยากให้พวกเขากลับมายังร้านของเราอีก นั่นทำให้เราทำงานหนักมากเพื่อบรรลุในสิ่งนั้น”
ปิดท้ายด้วยผู้ร่วมเสวนาคนท้ายสุด ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Amal Khalaf คิวเรเตอร์ชาวบาห์เรน-สิงคโปร์ผู้คร่ำหวอดในวงการศิลปะและอาหารมาอย่างยาวนาน โดยเธอเผยมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของอาหารที่ส่งผลต่อสังคมและวัฒนธรรมในอนาคตว่า “ถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ร่วมกัน ฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องจินตนาการภาพของโลกเราเสียใหม่ พวกคุณพูดถึงเรื่องของวัตถุดิบและอาหาร แต่ในหลายชุมชนที่ฉันทำงานด้วยเราเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการขาดแคลนอาหารกันแล้ว เริ่มหาหนทางในการที่ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งอาหาร เมื่อเราพูดถึงอนาคตและบทบาทของอาหารที่ควรจะเป็น เราจำต้องเรียนรู้ผ่านการได้ลิ้มลอง ผ่านอัธยาศัยและการดูแลเอาใจใส่ที่เรามีระหว่างกัน การแบ่งปันประสบการณ์ด้านอาหารคือหนทางหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้ในการอยู่ร่วมกันอีกครั้ง”
งาน LV Creative Talk ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 นี้ สอดคล้องกับบทบาทของ Louis Vuitton ในฐานะ House of Culture ทั้งยังตอกย้ำจุดยืนของ LV The Place Bangkok ที่เป็นศูนย์รวมไลฟ์สไตล์แห่งแรกของเมซง เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่ผสมผสานไปด้วยศิลปะ นิทรรศการ งานฝีมือ อาหาร และวัฒนธรรมในที่เดียว สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ Louis Vuitton ที่เป็นมากกว่าแบรนด์ระดับลักชัวรี่
TEXT: ALEXIS F., Rathatip Khamnurak