ทุกๆ อัญมณีล้วนบอกเล่าถึงเรื่องราวเสมอ ด้วยเหตุนี้ Van Cleef & Arpels จึงไม่เพียงนำเสนอผลงานรังสรรค์เครื่องประดับอัญมณีชิ้นใหม่ๆ แต่ยังให้ความสำคัญกับการบอกเล่าถึงเรื่องราวของการสร้างสรรค์ ตลอดจนยังคงอ้างอิงย้อนไปถึงมรดกทางประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อยุคอดีตจนถึงปัจจุบันของเมซงเสมอ


เหมือนกับที่ล่าสุด เมซงยังได้เปิดตัวหนังสือรวบรวมผลงาน The Van Cleef & Arpels Collection (1906-1953) ฉบับที่ 1 พร้อมทั้งจัดนิทรรศการแสดงชิ้นงานเครื่องประดับ ศิลปะวัตถุตกแต่ง และนาฬิกา ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นระหว่างปี 1906-1953 จากคอลเล็กชั่นมรดก Patrimonial Collection และ Heritage Collection ที่ถ่ายทอดถึงการสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงและนำเสนอด้วยเนื้อหาเชิงลึกซึ่งผ่านการศึกษาและวิเคราะห์ในเชิงศิลปะพิจักษ์เป็นครั้งแรกของเมซง อันเต็มไปด้วยเรื่องราวชวนค้นหาและน่าติดตาม เช่นดัง 5 เรื่องเด่นเกี่ยวกับเมซงผ่าน 5 ชิ้นงานที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการ ซึ่งแอลได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมชมมาแล้ว ณ กรุงปารีส
Sequin Ballerina Clip
เมซงเลือกที่จะเล่าเรื่องส่วนแรกของประวัติศาสตร์นับจากปี 1906 ของการก่อตั้งและเปิดทำการบูติกแห่งแรกขึ้น ณ อาคารเลขที่ 22 จัตุรัสว็องโดมกลางมหานครปารีส จนถึงปี 1953 ที่เป็นปีสำคัญ เช่นการเผยโฉม ‘เข็มกลัดนางระบำกระโปรงเลื่อม’ ที่กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมซงจนถึงทุกวันนี้


Cadenas Watch
ยุคพัฒนาเอกลักษณ์ของเมซงได้เริ่มต้นขึ้นในปี 1926 เมื่อ Renée Puissant บุตรสาวของ Alfred Van Cleef และ Esther Arpels เข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ และบุกเบิกการสร้างสรรค์สไตล์นวัตกรรมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หนึ่งในนั้นคือนาฬิกา Cadenas นับจากการรังสรรค์ขึ้นในปี 1935 และพัฒนาต่อมาสู่รูปลักษณ์ที่ทันสมัยและสวยงามตามความนิยมของยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง


Flower brooch
อิทธิพลของอลังการศิลป์ หรือ Art Deco บวกกับความสมจริงตามธรรมชาติได้ถ่ายทอดไว้ในเข็มกลัดกลีบใบ หรือ Flower brooch จากปี 1936 ซึ่งถือเป็นชิ้นงานสำคัญของคอลเล็กชั่นมรดกแห่งเมซง ในฐานะตัวแทนการเปลี่ยนแปลงระหว่างรอยต่อของยุคสมัยในเชิงสุนทรียศิลป์และความนิยมต่อการออกแบบสร้างสรรค์เครื่องประดับ


Collaret Necklace
เมซงขยายกิจการจากปารีสสู่นิวยอร์กในช่วงปี 1938 ที่เริ่มต้นมาจากการร่วมงาน New York World’s Fair ปี 1939 และหลังจากนั้นจึงได้เปิดสำนักงานสาขาย่อยขึ้นในอเมริกา ก่อนที่หลังจากนั้นสมาชิกในครอบครัวผู้ก่อตั้งจึงได้ตัดสินใจไปตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา โดยในยุคขยับขยายนี้ยังมีผลงานชิ้นเด่น อย่าง สร้อยคอแผงตาข่าย Collaret ปี 1939 ซึ่งเคยเป็นเครื่องประดับส่วนพระองค์ในสมเด็จพระบรมราชินีนาถนาซลีแห่งอียิปต์


Emerald Necklace
จนถึงปี 1953 ซึ่งเป็นส่วนแรกของเรื่องราวประวัติศาสตร์แห่งเมซง Van Cleef & Arpels ได้ตอกย้ำถึงการเป็นนักรังสรรค์และบุกเบิกนวัตกรรมงานออกแบบยุคใหม่ จากการผสมผสานอิทธิพลของยุคสมัยเข้ากับบรรทัดฐานนิยมในความวิจิตรบรรจง ทั้งยังหลอมรวมเข้ากับโลกของแฟชั่น แม้แต่ในยุคหลังต่อมา เหมือนกับตัวอย่างชิ้นงานที่เราประทับใจมากที่สุดจากงานครั้งนี้ คือ สร้อยคอเยลโลว์โกลด์ประดับมรกตคาโบชองคัตและเพชร จากปี 1982 ที่มีทั้งความอ่อนช้อยสวยงามของโครงร่างสร้อย ประกอบกับแสงระยิบระยับและสีที่ตัดกัน แต่กลับกลมกลืนไร้ที่ติระหว่างเพชรและมรกต ทั้งยังเป็นมรกตโคลอมเบียที่ได้ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลก


ผลงาน Archives อันหาชมได้ยากที่นำมาจัดแสดงครั้งนี้ ยังได้รวมไปถึงชิ้นงาน Heritage Collection ต่างๆ อาทิ เข็มกลัดดอกโบตั๋น Peony clip จากปี 1937 ในตัวเรือนแพลทินัมและเยลโลว์โกลด์ ประดับแบบ Mystery set ด้วยทับทิมและเพชรที่เคยเป็นเครื่องประดับในคอลเล็กชั่นส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงฟัยซะฮ์แห่งอียิปต์ นาฬิกาข้อมือ Passe-Partout Secret watch จากปี 1939 กับตัวเรือนและสายแบบโซ่ทรงหลอด หรือที่เรียกกันว่า Tubogaz ทำจากเยลโลว์โกลด์ มาพร้อมกับจิวเวลรี่เข็มกลัดปลดออกและแยกส่วนได้ 2 ชิ้นประดับทับทิมและแซปไฟร์ หรือเข็มกลัด Monnaie du Pape จากปี 1959 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาตินำมาตีความสู่ตัวเรือนรูปทรงดอกไม้ทำจากแพลทินัมและไวต์โกลด์ ประดับด้วยแซปไฟร์สีน้ำเงินทรงรีและเพชรบนกลีบดอกอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ แสดงออกถึงความนิยมในประติมากรรมเครื่องประดับที่มีทั้งมิติแห่งรูปทรงและความสวยงามเสมือนจริงของยุคสมัย



นับจากจุดเริ่มต้นของการก่อตั้ง จวบจนผ่านวิวัฒนาการและการสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงด้านอิทธิพลของวัฒนธรรม ศิลปะ สังคมและความนิยมมาแล้วมากมาย ผลงานเหล่านี้จึงนับเป็นตัวแทนซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวศิลปะแต่ละยุคสมัย รวมถึงทักษะความเชี่ยวชาญที่ผสมผสานเข้ากับความคิดสร้างสรรค์และสไตล์โดดเด่นของ Van Cleef & Arpels ได้อย่างดี