Time Reflections
การเดินทางอย่างไม่มีสิ้นสุดของเวลา ได้สะท้อนผ่านผลงานสร้างสรรค์นาฬิการะดับตำนานของ Rolex และในวันนี้ได้แสดงออกอีกครั้งถึงคุณค่าอันแท้จริงแห่งความเที่ยงตรง ประสิทธิภาพ การบุกเบิกสร้างสรรค์ และสุนทรียะความงามภายในนาฬิกาข้อมือรุ่นใหม่เสมือนดั่งกระจกเงาสะท้อนแห่งกาลเวลาอันไร้พรมแดน
Reawaken Time Emotions
นาฬิกา เวลา และห้วงอารมณ์ ได้หลอมรวมอย่างกลมกล่อมในคอลเล็กชั่นนาฬิกาข้อมือรุ่นใหม่ของ Rolex ในปีนี้ ที่ยังคงดึงแรงบันดาลใจจากมรดกอันทรงคุณค่าของเหล่าเรือนเวลาระดับตำนานมาผ่านการรังสรรค์และตีความสู่รูปโฉมใหม่ โดยยังคงให้ความสำคัญกับการผสมผสานอย่างกลมกลืนระหว่างความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเข้ากับสุนทรียะความสวยงาม จากเทคนิคและความเชี่ยวชาญในการคัดสรรทั้งวัสดุ สีสัน ตลอดจนเสน่ห์ของการตกแต่งพื้นผิว รวมถึงการประดับด้วยอัญมณีล้ำค่า ที่ล้วนเป็นหัวใจสำคัญซึ่งมอบผลลัพธ์เป็นตัวแทนของการสะท้อนถึงเวลา พร้อมทั้งปลุกฟื้นห้วงอารมณ์ความรู้สึกและความหลงใหลในเรื่องราวของเรือนเวลาได้อย่างไม่มีสิ้นสุด นับจากอดีตและสืบต่อไปสู่อนาคต
ในคอลเล็กชั่นของปีนี้ Rolex จึงอุทิศผลงานสร้างสรรค์ให้กับเรื่องราวของสุนทรียะความสวยงามและสัมผัสที่รับรู้ได้จากงานฝีมือการตกแต่ง ทั้งการรังสรรค์หน้าปัดและประดับอัญมณี ตลอดจนการบุกเบิกแห่งคุณภาพและประสิทธิภาพระดับสูงอันเป็นยอดปรารถนาของผู้ซึ่งหลงใหลในนาฬิกา ซึ่งได้ร่วมแสดงออกถึงความเชี่ยวชาญของโรงงานการประดิษฐ์สร้างสรรค์นาฬิกาแห่งนี้อย่างแท้จริง
Harmony and Contrasts
ความกลมกลืนและตัดกันได้มอบไว้ซึ่ง 2 คุณลักษณะอันโดดเด่นในนาฬิกาข้อมือรุ่นใหม่ของ Oyster Perpetual Cosmograph Daytona ซึ่งนอกจากจะยังคงสืบทอดความสวยงามสไตล์สปอร์ตหรู ที่ผสานอย่างกลมกลืนเข้ากับความเข้มแข็งและประสิทธิภาพแล้ว ในเรือนเวลาใหม่ 2 รุ่นของปีนี้ยังสร้างความแตกต่างด้วยภาพที่ตัดกันอย่างลุ่มลึกระหว่างหน้าปัดเปลือกหอยมุกธรรมชาติสีขาวและดำ พร้อมทั้งหน้าปัดย่อยทั้ง 3 วง ซึ่งเลือกเป็นเฉดสีตรงข้ามทั้งสีดำหรือขาว นับเป็นการผสมผสานที่โดดเด่นและเติมลุคแห่งสไตล์อันหนักแน่นของคอลเล็กชั่นได้อย่างลงตัว
Exquisite works of art
ทุกๆ ครั้งของการตีความใหม่ให้กับหน้าปัดนาฬิกา Rolex นั้น ต้องอาศัยทั้งความเชี่ยวชาญและความคิดสร้างสรรค์ เสมือนกับการรังสรรค์งานศิลปะ จึงเป็นที่เรียกขานกันว่าศิลปะแห่งการทำหน้าปัด หรือ art cadranier ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างองค์ความรู้และงานฝีมือระดับสูงของช่างฝีมือในหลากหลายแขนงที่มาทำงานร่วมกัน เพื่อมอบความสวยงามให้กับโฉมหน้าของเรือนเวลา ดังเช่นโฉมหน้าอันเป็นอมตะของนาฬิกา Oyster Perpetual Cosmograph Daytona ที่หน้าปัดประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนต่างๆ หลายชิ้น โดยเฉพาะชิ้นส่วนของหน้าปัดย่อยซึ่งจำเป็นต้องผลิตแยกออกจากหน้าปัดกลาง ทั้งยังเป็นชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็กและละเอียดอ่อนอย่างมาก การรังสรรค์หน้าปัดย่อยและหน้าปัดกลางของบรรดานาฬิกาโครโนกราฟจึงนับเป็นอีกหนึ่งศิลปะชั้นสูงในการผลิต เฉกเช่นเดียวกับหน้าปัดที่ทำจากหินสี หรือวัสดุล้ำค่าและหายากอื่นๆ
ขณะที่ในแง่ของการคัดสรรระหว่างเฉดสี การสะท้อนแสง และลวดลายพื้นผิวของหน้าปัด ร่วมไปกับเทคนิคเฉพาะของการตกแต่งและงานออกแบบโดยรวมนั้น ก็นับเป็นส่วนประกอบสำคัญของการแสดงออกถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละผลงาน หน้าปัดนาฬิกาของ Rolex จึงอาศัยซึ่งความลงตัวของวัสดุล้ำค่าที่ผ่านการตกแต่งอย่างประณีตพิถีพิถัน อาทิ เยลโลว์โกลด์ ไวต์โกลด์ และพิงก์โกลด์ ที่ในบางครั้งก็ผสมผสานเข้ากับวัสดุธรรมชาติอื่นๆ อย่างเปลือกหอยมุก หรือหินสีหายาก ทั้งโอปอล อะเวนจูรีนสีเขียว คาร์เนเลียน หรือเทอร์ควอยส์ ที่นำมาตกแต่งลวดลาย หรือผ่านการขัด เคลือบ และแกะสลักไว้อย่างสวยงาม โดย Rolex ใช้ 3 เทคนิคหลักๆ ของการรังสรรค์หน้าปัดนาฬิกาที่กลายเป็นเอกลักษณ์ความสวยงามเฉพาะตัว ทั้งการเคลือบสีแบบทึบแสงที่พบได้ในการผลิตหน้าปัดสีขาว และการเคลือบแล็กเกอร์ซึ่งนำมาใช้กับการสร้างสรรค์หน้าปัดเฉดสีเข้มอย่างสีดำ กับอีกหนึ่งเทคนิคคือ Electroplating ซึ่งช่วยในการสร้างสรรค์เฉดสีแบบเมทัลลิก เช่น สีเงิน แชมเปญ เทา ไปจนถึงดำ และหน้าปัดสตีลต่างๆ โดยแต่ละสีก็ยังมีความซับซ้อนในการรังสรรค์แตกต่างกัน มาถึงเทคนิคสุดท้ายคือการเคลือบ PVD ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยเป็นกระบวนการเคลือบแผ่นหน้าปัดด้วยชั้นบางๆ อย่างมากของโลหะและโลหะออกไซด์ภายในห้องสุญญากาศและภายใต้แรงกดอากาศที่เทียบเท่ากับบนอวกาศ เพื่อมอบมิติของเฉดสีเมทัลลิกได้หลากหลายเฉดและโทน อย่างสีฟ้าสด ฟ้าอ่อน ไอซ์บลู เขียวมะกอก ช็อกโกแลต ไปจนถึงชมพู และเทาเข้ม รวมถึงเผยความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละเฉดและพื้นผิวหน้าปัดที่สวยงามของนาฬิกา Rolex
The Aesthetic Identity
(ขวา) นาฬิกาข้อมือ รุ่น Oyster Perpetual Day-Date 40 ตัวเรือนไวต์โกลด์ หน้าปัดเปลือกหอยมุกธรรมชาติสีขาว ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวครั้งแรกสำหรับรุ่นนี้ พื้นผิวหน้าปัดดูคล้ายกับก้อนเมฆเรียงซ้อนกันและประดับเพชร สง่างามและประณีตด้วยสายนาฬิกา President
ในผลงานรุ่นใหม่ของ Oyster Perpetual Cosmograph Daytona จึงนับเป็นความท้าทายที่เหนือกว่าการรังสรรค์หน้าปัดนาฬิกาทั่วไปสำหรับทั้งช่างศิลป์และช่างนาฬิกาของ Rolex ด้วยเพราะเป็นรุ่นที่พลิกโฉมหน้าปัดด้วยการนำเปลือกหอยมุกธรรมชาติมาประกอบกันเป็นทั้งส่วนของหน้าปัดกลางและหน้าปัดย่อย โดยนอกเหนือจากความละเอียดอ่อนในขั้นตอนของการตัดและตกแต่งบนวัสดุที่มีความเปราะบางมาสู่ชิ้นส่วนหน้าปัดซึ่งมีความบางเฉียบแล้ว ก่อนหน้านั้นเปลือกหอยมุกที่ใช้ยังต้องผ่านการคัดสรรพิเศษทั้งเฉดสีและความเข้มของสีสัน เพื่อให้สามารถเผยภาพของหน้าปัดที่ตัดกันระหว่างคู่สีตรงข้ามได้อย่างโดดเด่น แต่ก็คงไว้ซึ่งความกลมกลืนของสุนทรียะความสวยงาม เช่นในรุ่นที่มาพร้อมกับหน้าปัดเปลือกหอยมุกธรรมชาติสีขาวตัดกับหน้าปัดย่อยสีดำได้ลงตัว พร้อมทั้งประดับเพชรบนเครื่องหมายบอกชั่วโมง รวมถึงบนขอบตัวเรือนนาฬิกา สะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างแสงอันเปล่งประกายแวววาว ส่วนอีกรุ่นเป็นหน้าปัดเปลือกหอยมุกธรรมชาติสีดำตัดกับหน้าปัดย่อยสีขาว ซึ่งรับกันระหว่างหน้าปัดประดับเพชรบนเครื่องหมายบอกชั่วโมงเข้ากับขอบตัวเรือนประดับเพชร
เรือนเวลาระดับตำนานทั้ง 2 รุ่นโฉมใหม่นี้รังสรรค์จากไวต์โกลด์และขอบตัวเรือนประดับเพชรเจียระไนเหลี่ยมเกสร 36 เม็ด มาพร้อมสายนาฬิกาที่เข้ากันกับสีของบรรดาหน้าปัดย่อยในแต่ละรุ่น โดยรุ่นหน้าปัดย่อยสีดำจับคู่มากับสายนาฬิกา Oysterflex ขณะที่รุ่นหน้าปัดย่อยสีขาวลงตัวเข้ากับสายนาฬิกา Oyster
Brilliance and hues
นอกเหนือจากโฉมหน้าอันไร้ขอบเขตแห่งการสร้างสรรค์อย่างอิสระ ที่สะท้อนผ่านการรังสรรค์หน้าปัดนาฬิกาของ Rolex แล้ว เทคนิคและความเชี่ยวชาญอันล้ำเลิศอีกหนึ่งแขนงที่นำมาใช้ร่วมกันได้อย่างลงตัวเสมอในการตกแต่งเรือนเวลานั่นก็คือศิลปะของการประดับอัญมณีล้ำค่า ที่ผสมผสานเข้ากับวัสดุและการตกแต่งบนตัวเรือนตลอดจนสายนาฬิกาได้อย่างลงตัว
อัญมณีและการประดับลงบนนาฬิกาข้อมือถือเป็นการทำงานศิลปะที่สร้างสรรค์ความสวยงามอย่างแท้จริง โดย Rolex คัดเลือกเพียงอัญมณีคุณภาพสูง และใช้เพียงเทคนิคขั้นตอนของการประดับอัญมณีที่พิถีพิถันสูงสุดเท่านั้น เพื่อเผยความทรงเกียรติของผลงานเรือนเวลาอันงดงามเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการคัดสรรอัญมณีธรรมชาติที่ดีที่สุดอย่างเพชร ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต สำหรับนำมาใช้ตกแต่งบนวัสดุล้ำค่าของตัวเรือน หน้าปัด ตลอดจนสายนาฬิกา อัญมณีเหล่านี้จึงจำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยห้องปฏิบัติการด้านอัญมณีศาสตร์ของแบรนด์ และผ่านการรับรองโดยสมาพันธ์เครื่องประดับโลก (World Jewellery Confederation – CIBJO) ก่อนจะนำมาสู่การรังสรรค์งานศิลป์ชิ้นเอกแห่งอัญมณีโดยเหล่ามาสเตอร์ช่างประดับอัญมณีผู้เปี่ยมด้วยทักษะและเชี่ยวชาญในเทคนิคเฉพาะด้านต่างๆ นับตั้งแต่การตัดเจียระไนด้วยรูปทรงอันแม่นยำ เช่น brilliant cut, baguette cut, trapeze cut, square cut รวมถึงการตกแต่งอัญมณีด้วยรูปทรงเฉพาะอย่าง asymmetric และ triangular stones จนถึงขั้นตอนของการประดับตกแต่งที่อาศัยเทคนิคและความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาอีกด้วย เช่นการประดับอัญมณีแบบ bead setting, channel setting, bezel setting และ prong หรือ claw setting โดยทั้งหมดยังต้องบรรจบกับมาตรฐานด้านคุณภาพ ความแม่นยำ ความทนทาน ความสอดคล้องของทิศทางและตำแหน่ง ตลอดจนความสวยงามและความสมบูรณ์แบบ ณ ขั้นตอนสุดท้ายของการประดับอัญมณีที่มีชื่อเสียงของ Rolex
Captivating Allure
ศิลปะของการรังสรรค์หน้าปัดและการประดับอัญมณีได้ถ่ายทอดผ่านนาฬิการุ่นใหม่ของ Oyster Perpetual Day-Date เพื่อสร้างสรรค์ความหลากหลายให้กับหนึ่งในคอลเล็กชั่นนาฬิกาอันทรงเสน่ห์สูงสุดของ Rolex โดยนำเสนอด้วยเวอร์ชั่นใหม่ของรูปโฉมหน้าปัดซึ่งเลือกได้อย่างหลากหลาย รวมถึงการผสมผสานเข้ากับวัสดุและการตกแต่งที่ยังคงให้น้ำหนักถึงความสมดุลกลมกลืนในแต่ละองค์ประกอบ เพื่อมอบเป็นการผสมผสานใหม่ๆ ได้อย่างไม่รู้จบ
นาฬิกาข้อมือ รุ่น Oyster Perpetual Day-Date 36 ตัวเรือนเอเวอร์โรสโกลด์ มาพร้อมขอบตัวเรือนประดับเพชร trapeze cut 60 เม็ด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในการนำขอบตัวเรือนรูปแบบนี้มาใช้กับนาฬิกา Day-Date 36 เผยความโดดเด่นด้วยหน้าปัดสีฟ้า-เขียวโทนเข้มลุ่มลึก สายนาฬิกา President สวมใส่สบายข้อมือ
ผสมผสานวัสดุและเฉดสีใหม่อันดึงดูดใจเป็นพิเศษทั้งใน Oyster Perpetual Day-Date 40 และ Oyster Perpetual Day-Date 36 รุ่นใหม่ โดยเฉพาะเสน่ห์อันลุ่มลึกแต่ซ่อนไว้ด้วยสไตล์ที่ทันสมัยของหน้าปัดออมเบรสีฟ้า-เขียว หรือหน้าปัดเปลือกหอยมุกธรรมชาติสีขาวที่ยังคงรักษาบุคลิกเฉพาะตัวของ Day-Date ไว้ เช่นใน Oyster Perpetual Day-Date 40 ซึ่งเปิดตัวด้วยโฉมหน้าและดีไซน์ใหม่ 2 รูปแบบ ระหว่างรุ่นแรกที่มาพร้อมกับตัวเรือนเอเวอร์โรสโกลด์คู่ความงดงามของหน้าปัดสีเทาอมน้ำเงินออมเบรใหม่ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกสำหรับนาฬิกา Day-Date 40 เพราะก่อนหน้านี้หน้าปัดสีออมเบรและประดับเพชรจะมีใช้เฉพาะเพียงในนาฬิกาข้อมือ Day-Date 36 เท่านั้น โดยรุ่นใหม่นี้ยังคงเผยให้เห็นถึงการเล่นกับแสงสะท้อนและการผันเปลี่ยนเฉดสีจากโทนสีสว่างตรงกลางไปยังโทนสีเข้มรอบขอบหน้าปัด เป็นการไล่เฉดอย่างกลมกลืนและจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการสร้างสรรค์ที่มีความแม่นยำสูง เพื่อให้สามารถเผยถึงรายละเอียดของเฉดสีและโทน ที่แม้จะต่างกันเพียงเล็กน้อยแต่ก็สังเกตเห็นได้ ทั้งยังมอบความสมบูรณ์แบบและสวยงามอย่างไร้ที่ติ
อีกเวอร์ชั่นของ Oyster Perpetual Day-Date 40 รังสรรค์ตัวเรือนจากไวต์โกลด์เคียงคู่มากับความสว่างไสวของหน้าปัดเปลือกหอยมุกธรรมชาติสีขาว ที่นับเป็นการเปิดตัวครั้งแรกสำหรับนาฬิการุ่นนี้ โดยคัดสรรอย่างประณีตจากเปลือกหอยมุกเนื้อละเอียดหายากเพื่อฉายประกายแสงอันแวววาว ทั้งยังถ่ายทอดเหลือบสีที่แปรเปลี่ยนไปตามแสงสะท้อน ส่วนพื้นผิวซึ่งมีทั้งความหนาและระดับแตกต่างกันยังดูคล้ายกับก้อนเมฆเรียงซ้อนกันอย่างเป็นธรรมชาติ และเมื่อเล่นกับแสงกลับสะท้อนกลายเป็นประกายแวววับจับตา ราวกับเป็นผืนเดียวกับแสงระยิบระยับของเพชรที่นำมาประดับไว้บนเครื่องหมายบอกชั่วโมงทรงสี่เหลี่ยมยาวรวม 10 เม็ด ช่วยขับเน้นให้หน้าปัดของเรือนเวลานี้ยิ่งโดดเด่นเหนือใคร
อวดโฉมความงดงามไม่แพ้กันในนาฬิกาข้อมือ Oyster Perpetual Day-Date 36 รุ่นใหม่ที่เผยเสน่ห์ด้วยภาพอันชวนให้หลงใหลของหน้าปัด 2 รูปแบบ ทั้งรุ่นแรกซึ่งมาพร้อมตัวเรือนเยลโลว์โกลด์คู่กับความสวยงามบริสุทธิ์ของหน้าปัดเคลือบเงาสีขาว ประดับตัวเลขโรมันแบบแยกส่วนทรงเหลี่ยมและเครื่องหมายบอกชั่วโมงทรงเหลี่ยมตกแต่งแบบผิวเรียบและเงา ซึ่งก่อนหน้านี้มีเฉพาะในรุ่น Day-Date 40 เท่านั้น โดยการปรากฏโฉมในเวอร์ชั่นตัวเรือนขนาดเล็กกว่าแต่ยังคงความสง่างามนี้ ถือเป็นจุดเด่นของนาฬิการุ่นใหม่ที่สะท้อนถึงอัจฉริยภาพด้านการสร้างสรรค์และหลอมรวมมิติแห่งความสวยงามไว้ได้อย่างกลมกลืน แม้ในตัวเรือนนาฬิกาที่มีขนาดเล็กลง
ขณะที่อีกรุ่นของ Oyster Perpetual Day-Date 36 เผยความเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์สไตล์ Day-Date ด้วยตัวเรือนเอเวอร์โรสโกลด์แวววาวและอบอุ่น รับกับโทนสีเข้มมีมิติลุ่มลึกของหน้าปัดสีฟ้า-เขียว ทั้งยังเติมความงดงามด้วยขอบตัวเรือนประดับเพชร trapeze cut รวม 60 เม็ด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในการนำขอบตัวเรือนรูปแบบนี้มาใช้กับนาฬิกา Day-Date 36 รุ่นตัวเรือนเอเวอร์โรสโกลด์นอกจากจะเผยความแตกต่างแล้ว ยังพร้อมจับทุกมิติแห่งสัมผัสด้านความสวยงามมาสู่ข้อมือผู้สวมใส่ และสะดวกสบายด้วยสายนาฬิกา President เช่นเดียวกับในรุ่น Day-Date 40
ด้วยการตีความใหม่และบุกเบิกสู่การสร้างสรรค์เรือนเวลาที่มีความหลากหลายของ Rolex ในปีนี้ นับเป็นอีกหนึ่งมิติที่สะท้อนและแสดงออกให้เห็นถึงปณิธานอันมุ่งมั่นให้กับการสืบทอดศิลปะของช่างนาฬิกา ซึ่งสามารถหล่อหลอมอย่างกลมกลืนเข้ากับการส่งมอบคุณภาพอันเหนือระดับ และบรรจบกับความสวยงามเหนือกาลเวลาของนาฬิกาได้อย่างลงตัว
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ rolex.com และโรเล็กซ์บูติก โดย PMT The Hour Glass ทุกสาขา