คอลัมน์ ELLE Crush เดือนพฤษภาคมนี้ แอลพาไปคุยกับ ‘KISS OF LIFE’ วงสุดยูนีกที่สุดวงหนึ่งในวงการเคป๊อป ด้วยเมมเบอร์อยู่ในวัย 20 ต้นๆ แต่เป็นเทรนนีมา 10 ปี เป็นนักแต่งเพลงที่มีผลงานกว่า 1,000 เพลง แม้เดบิวต์ได้ไม่ถึงปี แต่มงลงไปเลยว่า ‘Monster Rookie’
JULIE: Super Power Chilli
‘จูลี่’ ลีดเดอร์สาวที่จะหลอกคุณได้ด้วยร่างเล็กๆ และความหวานสุดเฟมินินของเธอ แต่ขึ้นเวทีเมื่อไร นักบัลเลต์จากเกาะฮาวายผู้นี้ทำให้คนดูตาค้างเสมอ เมื่อเธอกลายร่างเป็นแร็พเปอร์สุดเฟียร์ซที่เต้นกระจายราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้
ELLE: จูลี่เป็นนักเต้นบัลเลต์มาตั้งแต่เด็ก อะไรที่ทำให้สนใจเรียนบัลเลต์
JULIE: ตอนเด็กๆ ฉันมีความสามารถพิเศษหลายอย่างมาก ชอบเต้น ชอบร้องเพลง จนคุณพ่อคุณแม่คิดว่าต้องให้ฉันไปทำอะไรสักอย่างแล้วละ พลังเยอะเหลือเกิน ก็เลยให้ไปเรียนบัลเลต์ค่ะ พอได้เรียนก็ชอบมากจนเรียนต่อเนื่องหลายปี
ELLE: การเป็นบัลเลรีนาส่งผลต่อการเป็นศิลปินเค–ป๊อปอย่างไรบ้าง
JULIE: จริงๆ แล้วบัลเลต์มีความอยู่ในกรอบพอสมควรเลยค่ะ มีท่าเต้นบังคับ พอได้มาเต้นสายฮิปฮอปและเค-ป๊อปก็รู้สึกเป็นอิสระมากๆ ฉันคิดว่าบัลเลต์ช่วยให้เส้นสายในการเต้นสวยงามด้วยค่ะ
ELLE: อยากฝึกการร้องในแนวเพลงอื่นๆ อีกบ้างไหม
JULIE: ถึงแม้จะเป็นนักเต้นบัลเลต์แต่ฉันก็ชอบฟังเพลงแนวฮิปฮอปและอาร์แอนด์บีมาตั้งแต่อยู่อเมริกาแล้ว คุณพ่อของฉันชอบเพลงฮิปฮอปมากๆ อย่าง Eminem, Jay-Z และโอลด์สกูลฮิปฮอป ฉันคงซึมซับการฟังเพลงมาจากท่าน พอมาเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีก็มีคนแนะนำว่าให้ฉันหัดแร็พดูไหม เห็นว่าฉันพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย พอได้ฝึกแร็พจริงๆ ปรากฏว่ามันเข้ากับฉันแฮะ รู้สึกเป็นธรรมชาติมากๆ เลย
ELLE: จูลี่เป็นเหมือนคุณแม่ของวง เพราะช่างดูแลใส่ใจคนอื่น เมมเบอร์แต่ละคนมีอะไรที่จูลี่คอยดูแลเป็นพิเศษบ้าง
JULIE: ส่วนมากแล้วฉันจะดูแลเมมเบอร์ด้านสภาพจิตใจและความรู้สึก อย่างนัตตี้มีประสบการณ์มาเยอะ ฉันเองจึงได้เรียนรู้อะไรมากมายจากนัตตี้ ฉันอยากจะเป็นพี่สาวที่สามารถซัพพอร์ตนัตตี้ได้ ส่วนเบลล์กับฮานึลยังเด็กอยู่และเพิ่งจะเป็นไอดอลได้ไม่นาน ฉันพยายามจะซัพพอร์ตทั้งสองคนในทุกทางที่ทำได้ค่ะ
ELLE: คนอื่นอาจคิดว่า ‘จูลี่ดูแลตัวเองได้’ แต่จริงๆ แล้วจูลี่อาจคิดในใจว่า ‘ช่วยมาดูแลฉันในเรื่องนี้หน่อย’ หรือเปล่า
JULIE: (หัวเราะ) ฉันชอบเหมือนกันนะคะเวลามีคนมาดูแล มีบางช่วงเวลาที่ฉันเองก็รู้สึกเหนื่อย แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่น้องๆ เห็นว่าพี่เหนื่อย แค่นี้ฉันก็ดีใจแล้วค่ะ
ELLE: ข้อดีของการเป็นศิลปินฝึกหัดมา 6 ปี ทำให้จูลี่มีทักษะหลายด้าน อยากเพิ่มเติมทักษะใหม่ๆ ด้านไหนให้ตัวเองอีกบ้างสำหรับการเป็น JULIE ศิลปินวง KISS OF LIFE และการเป็น Julie Han
JULIE: ช่วง 6 ปีที่ฝึกฝนมาฉันตั้งใจมากๆ จนทำให้มีทักษะอย่างทุกวันนี้ได้ ในเรื่องการพัฒนาตัวเองนั้น ถ้าตั้งใจจริงก็จะพัฒนาได้อีกหลายด้านเลยค่ะ สำหรับการเป็น ‘ศิลปินจูลี่’ ฉันอยากพัฒนาเรื่องการร้องเพลงค่ะ ในอนาคตฉันอาจจะเป็นศิลปินเดี่ยวก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแร็ปเปอร์เท่านั้น จึงอยากเรียนรู้ดนตรีให้กว้างและหลากหลายมากขึ้นค่ะ
ส่วนในความเป็น ‘Julie Han’ มีอะไรเยอะมากเลยค่ะที่อยากเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ศิลปะ หรือแฟชั่น ถ้ามีโอกาสก็อยากจะศึกษาด้านแฟชั่นในเชิงที่เป็นโปรเฟสชั่นแนลดูค่ะ
ELLE: อยากให้ KISS OF LIFE ทดลองสไตล์ใหม่ๆ แบบไหนอีกบ้าง
JULIE: ในฐานะศิลปินเค-ป๊อปก็อยากทดลองสไตล์ใหม่ๆ เมมเบอร์ของเรามาจากหลากหลายวัฒนธรรมด้วย อย่างนัตตี้มาจากเมืองไทย ฉันมาจากฮาวาย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะลองสไตล์ Island Girls เป็นสาวชาวเกาะกันค่ะ!
ELLE: ก่อนจะเดบิวต์ จูลี่ทำพรีเซนเทชั่นสิ่งที่ตัวเองต้องการไปนำเสนอต่อค่าย ปกติแล้วเป็นคนชอบวางแผนก่อนจะทำอะไรเสมอหรือเปล่า
JULIE: ปกติแล้วเป็นคนชอบวางแผนเป๊ะๆ มากเลยค่ะ แต่พอเดบิวต์แล้วกลับเปลี่ยนไป ถ้ามองในแง่ของ MBTI แต่ก่อนฉันเป็น J แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็น P เลิกวางแผนแล้วค่ะ (หัวเราะ) เพราะมีอะไรหลายอย่างในตารางการทำงานที่วางแผนไว้อยู่แล้วว่าต้องทำ ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยชิลไปเถอะ แต่อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวฉันค่อยวางแผนค่ะ
ELLE: จูลี่เป็นสาวเอวบางร่างเล็ก แต่พออยู่บนเวทีกุมความสนใจของคนดูได้อยู่หมัด ทำอย่างไรให้การแสดงของตัวเองโดดเด่นแบบที่ร่างกายไม่เป็นข้อจำกัดเลย
JULIE: ‘อย่าลังเล’ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นท่อนร้อง การแร็พ หรือการเต้น ต้องไม่ลังเลและมั่นใจที่จะทำสิ่งเหล่านั้นออกไปค่ะ
ELLE: KISS OF LIFE หมายถึงการส่งต่อลมหายใจใหม่ๆ ให้กับวงการเค–ป๊อป แล้ว KISS OF LIFE มอบอะไรแปลกใหม่ให้กับชีวิตของจูลี่บ้าง
JULIE: KISS OF LIFE เป็นทุกอย่างของฉันค่ะ KISS OF LIFE = จูลี่ สองอย่างนี้แยกจากกันไม่ได้ มันคือตัวตนของฉัน
ELLE: ด้วยมาจากฮาวาย จูลี่อยากไปเที่ยวเกาะไหนในเมืองไทยบ้างไหม ทะเลไทยสวยนะ
JULIE: (ทำตาโต) ยังไม่เคยไปเที่ยวทะเลเมืองไทยเลยค่ะ แต่ที่ผ่านมานัตตี้บอกตลอดว่าอยากพาไปเที่ยวทะเลไทย ฉันคิดว่าฮาวายกับเมืองไทยคล้ายกันหลายอย่างนะคะ มีความเขียวและอากาศร้อนเหมือนกัน ฉันสังเกตว่าประเทศที่อากาศร้อนผู้คนจะชิล ผ่อนคลาย พอมาเมืองไทยก็เลยรู้สึกว่าเหมือนได้กลับไปฮาวาย แฮปปี้ทุกครั้งที่ได้มาเมืองไทยค่ะ