Thursday, January 23, 2025

เบื้องหลังตัวตน Beyond the Vines แบรนด์สุดชิกจากสิงคโปร์ ก่อนเปิดตัวแฟล็กชิพสโตร์ในไทย

เชื่อว่าเหล่าสายแฟยุคนี้คงคุ้นหูคุ้นตากับกระเป่าทรงเกี๊ยวหลากสีสันหรือกระเป๋าพัฟสุดนุ่มนิ่มในวิดีโอ Fit Check จากเหล่าคนดังบนโลกโซเชียล ซึ่งไอเท็มสุดเก๋เหล่านั้นเป็นผลงานจาก Beyond the Vines แบรนด์ไลฟ์สไตล์จากสิงคโปร์ที่ก่อตั้งโดยคู่สามี-ภรรยาอย่าง Daniel Chew และ Rebecca Ting ซึ่งพวกเขาไม่ได้มีแค่กระเป๋าเท่านั้น แต่ยังมีงานดีไซน์อื่นๆ ที่จะมาเสริมชีวิตประจำวันของทุกคนให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

และที่สำคัญ ในปี 2024 นี้ทางแบรนด์กำลังจะมาทักทายคนไทยอย่างใกล้ชิดด้วยการเปิดแฟล็กชิพสโตร์ระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแน่นอนว่าแอลก็ไม่พลาดที่จะพาผู้ก่อตั้งมาพูดคุยถึงเบื้องหลังตั้งแต่ที่มาของชื่อแบรนด์ ความใส่ใจในของผลงานแต่ละชิ้น รวมถึงสิ่งที่เหล่าสาวกชาวไทยจะได้เห็นกัน

Q: เล่าเบื้องหลังของชื่อ ‘Beyond the Vines’ ให้ฟังหน่อย ?

Rebecca Ting: “เพราะเราชอบดื่มไวน์ (หัวเราะ) เราไปร้านไวน์กันอยู่บ่อยๆ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นสถานที่ที่ผ่อนคลาย เป็นพื้นที่แห่งความหวังที่เราหลงใหลอย่างมาก เราคุยกันอยู่ตลอดว่าทำไมถึงไม่มีแบรนด์ที่สามารถให้ได้ทั้งดีไซน์ชั้นยอดที่มาพร้อมกับราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งบทสนทนาเหล่านี้มันไหลไปเรื่อยๆ ในขณะที่เรารู้สึกผ่อนคลาย(ด้วยไวน์) และหลังจากนั้นเราก็เริ่มทำอะไรบางอย่างทั้งๆ ที่ยังไม่มีชื่อแบรนด์ แล้วอยู่มาวันนึงชื่อ Beyond the Vines มันก็ผุดขึ้นมาจากหนังเรื่อง The Place Beyond The Pines” (หนังเรื่องโปรดของทั้งคู่) 

Rebecca Ting: “ซึ่งหลังจากที่เรามาคิดกันได้ ในฐานะแบรนด์ พวกเรามีจุดเด่นคือความ ‘adaptable’ (ปรับตัวได้ดี) ซึ่งมันส่งผ่านมาถึงดีไซน์ของเราด้วย และนั่นเป็นสิ่งที่เหมือนกับเถาวัลย์ (Vines) มันเป็นพืชที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร ไม่ได้เหมือนดอกกุหลาบ แต่มันเป็นพืชที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุด มันรอดอยู่ได้แม้จะเจอสภาพอากาศแปรปรวน และในขณะเดียวกันมันก็ต้องเกาะสิ่งอื่นๆ เพื่อเติบโตขึ้นด้วย ซึ่งเราพบว่าสิ่งนี้แหละที่เหมือนกับเรา เพราะเราต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ปรับตัวต่อเทรนด์ ต่อสังคม นิสัยของผู้คนที่เปลี่ยนไป และเราก็ต้องพึ่งพาคอมมูนิตี้ที่หมายถึงผู้คนที่เราสื่อสารด้วยอยู่ตลอด”

Q: ไลฟ์สไตล์แบบไหนที่เป็น Beyond the Vines ?

Rebecca Ting: “ฉันว่าถ้าอิงจากพื้นฐานในการออกแบบของเราแล้ว เราพยายามที่ไม่ดีไซน์โปรดักส์มาเพื่อตอบโจทย์เจาะคนเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่โฟกัสไปที่ความรู้สึกที่แต่ละคนจะได้ในการใช้มากกว่า ยกตัวอย่างเช่นกระเป๋า เราก็จะไม่ได้ทำไอเท็มออกมาเพื่อการไปยิมที่ต้องมีรูปทรงแบบนี้ สีแบบนี้ เท่านั้น แต่เราจะมีกระเป๋าที่คุณสามารถเอามันไปออกกำลังกายไป ไปท่องเที่ยวได้ ไปทะเลได้ เราค่อนข้างมองภาพงานออกแบบที่มาเสริมทุกไลฟ์สไตล์ให้ดีขึ้น มากกว่าที่จะผลิตมาเพื่อไลฟ์สไตล์ของใครสักคนหนึ่ง เราสามารถเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งสะพาย Dumpling Bag ในชีวิตประจำวันทั่วไป ส่วนหนุ่มอีกสักคนก็สะพายมันไปฟิตเนส แล้วฉันอาจจะหิ้วมันไปคอนเสิร์ต อะไรแบบนั้น” 

Q: เท่าที่ฟังคิดว่ากลุ่มเป้าหมายของแบรนด์กว้างมาก มีวิธีหาจุดกึ่งกลางที่ทุกคนถูกใจได้อย่างไร ?

Rebecca Ting: “ปกติแล้วเราจะผลิตอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมาพร้อมกัน ราวๆ 6-10 แบบ เพื่อนำมาทดสอบ ประเมินต่างๆ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือนกว่าจะตัดสินได้ว่าอะไรควรเข้าสู่การผลิตจริงต่อไป ซึ่งอาจจะมีสัก 1-3 แบบเท่านั้นที่ได้ไปต่อ เราพยายามเข้าใจทุกอย่างให้ได้มากที่สุด สัมผัสมันด้วยตัวเองเป็นเวลานาน และที่สำคัญก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่กระบวนการการผลิต เราใช้เวลาส่วนมากไปกับการทำความเข้าใจสังคม อย่างเช่นทุกวันนี้ผู้คนให้ความสนใจกับเรื่องสุขภาพตัวเองขึ้นมาก มีคนเล่นกีฬากันมากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาจะพกในแต่ละวันนั้นจะมีอะไรบ้าง แล้วพวกเขาต้องการดีไซน์แบบไหนเพื่อใส่อะไร ‘เข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ตั้งแต่จุดเริ่มต้น’ แล้วนำมันมาจับกับเทรนด์ต่างๆ อย่างพวก Poofy Trend (กระเป๋านุ่มๆ )”

“สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้คือ เป้าหมายในการพาแบรนด์เติบโตไปในจุดที่มีดีไซน์ที่ดี และยังสามารถเข้าถึงได้ มันต้องส่งผ่านทุกอย่างที่เราทำ ของจะถูกส่งไปถึงมือลูกค้าแบบไหน ตอนที่พวกเขารับแล้วเปิดมา จะต้องเห็นหรือได้รับอะไรบ้าง อย่างพวกสติกเกอร์ โน้ตน่ารักๆ ทุกอย่างจะต้องมีส่วนร่วมในการสร้างความประทับใจ”

Q: ทำไมถึงเลือกปักหมุดเปิดแฟล็กชิพสโตร์ที่กรุงเทพ ?

Rebecca Ting: “ฉันคิดว่ามันเริ่มตั้งแต่การพูดคุยช่วงดินเนอร์สักวันนึงในปี 2019 ว่าถึงเวลาที่พวกเราจะยกระดับ Beyond the Vines ไปอีกก้าวหนึ่งได้แล้ว เพราะถึงเราจะสามารถทำได้ดีในภูมิภาคของเรา(สิงคโปร์) แต่พวกเราก็ยังอยากทำอะไรที่มากกว่านั้น อย่างการพา BTV ไปสู่ระดับโกลบอลแบรนด์ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงอยากจะเปิดสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กรุงเทพ

“ส่วนถามว่าทำไมต้องเป็นที่นี่ เพราะกรุงเทพเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามาก เป็นสถานที่ที่มีคนอาศัยอยู่เยอะมากเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ มันเป็นคำว่า แล้วทำไมถึงจะไม่ใช่กรุงเทพล่ะ? ฉันเคยไปที่ไทยหลายรอบแล้วเมื่อปีที่แล้วกับหลายๆ ทีม ไปดูสโตร์ ไปพบปะพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น ฉันเห็นความอิสระของผู้คน มันทำให้รู้สึกว่า ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ที่นี่ รวมไปถึงความสวยงามของกรุงเทพ ที่นั่นมีความแข็งแกร่งด้านอาหารทั้งสตรีตฟู้ดและไฟน์ไดนิ่ง หรือด้านแฟชั่นที่มีทั้งแบบราคาจับต้องได้มากๆ และไฮแฟชั่น ที่สำคัญคือมีผู้คนที่เป็นมิตรมากด้วย”

Q: คุณเตรียมวิธีสื่อสารต่อผู้คนที่ไทย หรือมีวิธีการปรับตัวอย่างไรบ้าง ? 

Rebecca Ting: “แน่นอนว่ามันมีความเสี่ยงอยู่ตลอดไม่ว่าเราจะไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหน เรามองการสร้างแบรนด์ของเราเป็นการสร้างความไว้วางใจ เราได้พูดคุยกับคนในพื้นที่มาก่อน เรามีข้อมูลว่าผู้คนที่นั่นเป็นอย่างไร แต่นั่นก็เป็นพาร์ตของสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว การเข้าสู่ตลาดที่ไทยนั้นเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเรามาก แต่มันก็เหมือนกับวลาเราไปเริ่มต้นในทุกที่ๆ เราพยายามจะใกล้ชิดกับผู้คน สร้างความสัมพันธ์กับวงการดีไซเนอร์ ดนตรี ศิลปะ หรือแม้กระทั่งกับวงการอาหารในพื้นที่นั้นๆ “

“มันไม่ใช่แค่ว่าทุกคนรับรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ แต่เราก็ต้องรับฟังสิ่งที่ทุกคนต้องการได้ด้วยเช่นกัน” 

Rebecca Ting: “และสิ่งที่สำคัญคือการให้ความสนใจธรรมชาติของมนุษย์ แน่นอนว่าเราได้ศึกษาความต่างทางวัฒนธรรมของไทยและสิงคโปร์ หรือไทยกับญี่ปุ่นได้ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ทุกๆ คนล้วนแล้วแต่พยายามจะทำงานหนักเพื่อมาปรนเปรอตัวเองกันทั้งนั้น นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเราพยายามจะใช้ทั้งสองด้านนี้ผสมกันเพื่อนำเสนอสิ่งต่างๆ ขึ้นมา”

Q: โปรดักส์ชิ้นไหนคือไอเท็มสุดโปรดของคุณ ?

Rebecca Ting: “สิ่งที่ฉันชอบที่สุดมักจะเป็นสิ่งที่ยังไม่ผลิตออกมา คงเหมือนกับเวลาคนเราท้องแหละ เราก็จะตื่นเต้นว่าลูกจะออกมาหน้าตาเป็นแบบไหนมากกว่าตอนเขาออกมาวิ่งเล่นได้แล้ว เพราะเราต้องอยู่กับของชิ้นหนึ่งเป็นปีๆ กว่าจะผลิตออกมาได้” แล้วของชิ้นไหนที่อยากให้คนไทยรู้จักมากที่สุด? “เอาจริงๆ ฉันภูมิใจมากกับ Dumpling Bags ตั้งแต่ที่เราเริ่มวางขายมาเมื่อ 3 ปีก่อน แล้วมันเกิดไวรัลขึ้นมา มันสร้างอะไรหลายๆ อย่างมากที่ไม่ใช่แค่กับพวกเราแต่เป็นทั้งวงการนี้เลย มันทำให้เห็นว่าผู้คนใช้กระเป๋าไนลอนแบบไหน มีลักษณะการใช้ชีวิตยังไง เพราะหลายแบรนด์ก็ทำกระเป๋าไนลอน เรียกว่าเป็นเทรนด์ได้เลย ในฐานะสตูดิโอออกแบบมันเลยเหมือนเราไม่ได้สร้างแค่กระเป๋าใบนึง แต่สร้างความเปลี่ยนแปลงและขยายพื้นที่ความคิดสร้างสรรค์ให้กับวงการนี้เลย”

“แบรนด์ส่วนมากมักพยายามจะสร้างไอเท็มชิ้นไอคอนิกขึ้นมา
แต่ความจริงแล้วคุณไม่สามารถทำมันขึ้นมาเองได้หรอก เพราะสิ่งที่จะบอกได้ว่าอะไรคือไอเท็มไอคอนิกคือเสียงจากผู้บริโภค”

Q: ถ้าไม่ใช่กระเป๋า อะไรเป็น Must-have Item ที่คุณคิดว่าคนไทยต้องมี ?

Rebecca Ting: “ฉันว่าอีกหนึ่งไอเท็มที่มีจุดแข็งและบ่งบอกถึงตัวตนของเราได้อย่างชัดเจนคือชุดจัมพ์สูท เพราะเมื่อคุณมองไปที่จัมพ์สูทของ BTV คุณสามารถเห็นถึงวิธีการที่เราสร้างสรรค์ของชิ้นนึงขึ้นมา อย่างวิธีที่เราเย็บกระเป๋าไว้ ตำแหน่งของป้ายต่างๆ มันมีเอกลักษณ์มาก เหมือนกับไลน์กระเป๋าของเรา เรามีเสื้อผ้าอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นชุดเดนิม เสื้อ T-Shirt ที่สวมใส่ได้ง่าย แต่ถ้าถามถึงอะไรที่บ่งบอกความเป็น Beyond the Vines เลยก็ต้องเป็นชุดจัมพ์สูท เราเชื่อว่ามันจะเป็นอีกหนึ่งไอเท็มเด่นได้ในอนาคตเลยล่ะ” 

Q. เราคาดหวังอะไรจากช็อปที่จะมาเปิดที่ไทยได้บ้าง ?

Rebecca Ting: “มันจะเป็นแฟล็กชิพสโตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกเราตื่นเต้นกับมันมาก เราภูมิใจที่จะนำเสนอทุกอย่างเลย เราหวังว่าจะสามารถสร้างร้านที่ให้ประสบการณ์ที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ เป็นสถานที่พบปะกัน ให้ทุกคนมาที่นี่แล้วรู้สึกสนุก รู้สึกผ่อนคลาย และเพิ่มเอเนอร์จี้ให้กับทุกคนที่มาผ่านสีสันสไตล์คัลเลอร์บล็อกและทุกอย่างในสโตร์ รวมไปถึงการเพิ่มประสบการณ์อื่นๆ ที่คุณหาไม่ได้ที่ช็อปในสิงคโปร์ด้วย”

Latest Posts

Don't Miss