Friday, October 24, 2025

เดินทางสู่สวนดอกไม้แห่งอัญมณี สัมผัสคอลเล็กชั่นแห่งพรรณพฤกษาจาก Van Cleef & Arpels

แอลมีโอกาสได้ร่วมเดินทางสัมผัสความงดงามของมวลดอกไม้แห่งอัญมณี ท่ามกลางพรรณพฤกษาและความงามเขียวขจีที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ อันเป็นต้นกำเนิดของแรงบันดาลใจสำหรับ Van Cleef & Arpels เรื่อยมา และครั้งนี้ เมซงผู้รังสรรค์เครื่องประดับอัญมณีและเรือนเวลาได้พาเราชื่นชมความสวยงามแห่งธรรมชาติของมวลดอกไม้และสวนสวยอีกครั้ง ณ ภายในงาน Flora at Dumfries House ประเทศสกอตแลนด์ ดินแดนแห่งพฤกษาอันอุดมสมบูรณ์​ ซึ่งเชื่อมโยงกับการรังสรรค์ผลงานเครื่องประดับที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากดอกไม้นานาพันธุ์สู่จิวเวลรี่ 2 บทใหม่ ทั้งในคอลเล็กชั่น Flowerlace และ Fleurs d’Hawaï ที่นำมาเผยโฉมและเบ่งบานด้วยผลงานใหม่ให้ได้ชื่นชมกันเป็นครั้งแรก

The Blooms Debut

ความอ่อนช้อย งดงามของมวลพฤกษาสู่เครื่องประดับอัญมณีและเรือนเวลาของเมซงได้เผยความสวยงามแรกแย้มมานับตั้งแต่ยุคเริ่มต้น โดยเฉพาะจากชิ้นงานที่กลายเป็นดั่งต้นตำรับของเรื่องราวแห่งกวีพรรณพฤกษานี้ อย่าง เข็มกลัดดอกเดซี ในปี 1907 ที่สะท้อนถึงแรงบันดาลใจจากพฤกษาธรรมชาติ และนำทางมาสู่การรังสรรค์งานหัตถศิลป์เชิงบทกวีที่เชื่อมโยงกับงานออกแบบด้วยโครงร่างอันชดช้อยเป็นธรรมชาติของดอกไม้ ซึ่งถ่ายทอดไว้ในผลงานนับหลังจากนั้นของเมซงมาอย่างต่อเนื่อง โดยคงไว้ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเชิงนามธรรมและรูปลักษณ์กับความชดช้อยที่สอดคล้องกับคุณลักษณะทางธรรมชาติของพฤกษาไว้อย่างชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบดอกไม้เล็กๆ จนถึงช่อบูเกต์ขนาดใหญ่ซึ่งล้วนจำลองความโค้งของกลีบดอก เกสร และใบของมวลดอกไม้มาได้อย่างสมจริง

ด้วยแรงบันดาลใจจากคอลเล็กชั่น Heritage และ ​Patrimonial อันทรงด้วยคุณค่าของเมซงจึงได้นำมาจัดแสดงไว้ร่วมกับผลงานใหม่และคอลเล็กชั่นเครื่องประดับจากแรงบันดาลใจแห่งมวลดอกไม้ในปัจจุบัน ในงาน Flora at Dumfries House ที่เมซงได้ปักหมุดหมายสถานที่การจัดงานไว้ท่ามกลางดินแดนแห่งสวนและธรรมชาติ อย่าง Dumfries House ราชนิเวศน์ในเขตแอร์เชอร์ สกอตแลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนรุกขชาติและสวนดอกไม้ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์แห่งมูลนิธิ The King’s Foundation โดยผลงานประวัติศาสตร์และชิ้นงานมรดกเหล่านี้ได้ถูกจัดแสดงไว้ร่วมกับคอลเล็กชั่นเครื่องประดับและเรือนเวลาแห่งดอกไม้อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Frivole, Fleurette, Pâquerette, Lotus, Rose de Noël, Socrate, Cosmos และนาฬิกา Enchanted Nature ตลอดจนผลงานรังสรรค์เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงที่ต่างก็มีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติและถ่ายทอดความอ่อนช้อยงดงามของมวลดอกไม้ไว้อีกมากมาย

หลังได้ดื่มด่ำกับนานาพรรณพฤกษาแห่งเครื่องประดับอัญมณีหลากหลายคอลเล็กชั่นแล้ว เมซงก็ได้พาเราออกเดินทางสู่การชื่นชมผลงานเครื่องประดับจาก 2 คอลเล็กชั่นใหม่ที่เปิดตัวในงานครั้งนี้ ทั้ง Flowerlace และ Fleurs d’Hawaï กับการตีความครั้งใหม่แห่งสุนทรียะความสวยงามของมวลดอกไม้ รวมถึงความเชี่ยวชาญในการคัดสรรอัญมณี การออกแบบและการพลิกแพลงงานหัตถศิลป์หลากหลายแขนงมาประยุกต์ใช้ เพื่อนำเสนอมุมมองและรูปลักษณ์ใหม่ของจิวเวลรี่แห่งพรรณพฤกษาที่สวยงาม ทั้งยังคงไว้ด้วยเอกลักษณ์ด้านงานออกแบบ งานฝีมือและการสร้างสรรค์ของเมซง

Graceful Blossom

สัมผัสของความอ่อนช้อยและเปลือยโปร่งราวกับลวดลายลูกไม้ของเครื่องประดับ Flowerlace นั้นสร้างความประทับใจให้เราได้มากเป็นพิเศษ ด้วยเทคนิคการรังสรรค์และนิยามใหม่ของจิวเวลรี่ที่สะกดสายตาได้จากโครงร่างทองแบบเปิดโปร่ง พร้อมทั้งชูความโดดเด่นให้กับประกายแสงสีทองอร่ามที่เจิดจรัสคู่กับอัญมณีน้ำงาม อย่างเพชรได้อย่างกลมกลืน ด้วยต้นกำเนิดของแรงบันดาลใจที่ได้มาจากเส้นโค้งชดช้อยเหมือนกับขดม้วนของริบบิ้นซึ่งจัดวางเรียงร้อยกันกลายเป็นวงกลีบดอกไม้ และผสมผสานเข้ากับการออกแบบรูปทรงที่มีมิติ ขณะเดียวกันก็เน้นเผยโครงสร้างตัวเรือนเปิดโปร่งที่ให้ความรู้สึกได้ถึงความบางเบา ช่วยให้สวมใส่ได้สบายราวกับเป็นส่วนหนึ่งของผิวกาย คอลเล็กชั่นนี้จึงสะท้อนถึงความเป็นแฟชั่นและจิวเวลรี่ที่นำเสนอคู่กันเป็นดั่งศิลปะแห่งงานตัดเย็บภายในจิวเวลรี่ได้อย่างลงตัว โดยมีเหล่าชิ้นงานไฮไลต์ อย่าง แหวนหว่างนิ้ว Flowerlace Between the Finger รังสรรค์ด้วยรูปทรงของกลีบดอกไม้โค้งจากทอง พร้อมทั้งประดับบนเกสรและปลายก้านดอกไม้ด้วยเพชร และจี้เข็มกลัด Flowerlace ทองรูปดอกไม้ที่มีกลีบดอกซ้อนกัน 2 ชั้น และประดับบนเกสรด้วยลูกปัดทองกลมมนพร้อมทั้งเพชรอันเปล่งประกายเย้ายวนใจให้ได้ลองเข้าไปชมใกล้ๆ แต่ละชิ้นงานของวงกลีบดอกไม้นี้ยังประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนอันละเอียดอ่อนเพื่อถ่ายทอดได้ถึงการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ

Precious Floral

สำหรับอีกหนึ่งผลงานใหม่ อย่าง Fleurs d’Hawaï ได้ร่วมถ่ายทอดทั้งแรงบันดาลใจจากความสดใสของสวนดอกไม้แห่งฮาวาย รวมถึงพรรณไม้พื้นถิ่นของเขตเมืองร้อน ด้วยเอกลักษณ์ของทั้งเฉดสีสันสดใส และความเข้มข้นของโทนสีอันเป็นจุดเด่น จึงเป็นที่มาของทั้งงานออกแบบและความละเมียดละไมในการคัดสรรอัญมณีสีทรงหยดน้ำ อย่าง ซิทริน แอเมทิสต์ โรโดไลต์ อะความารีน และเพอริดอต ที่นำมาประดับไว้อย่างกลมกลืนบนกลีบดอกไม้ ตัดกับแสงสีขาวบริสุทธิ์ของพวงเกสรประดับเพชร ทั้งยังผสมผสานเข้ากับโทนสีทองของโครงร่างและใบไม้เงาวาว ความแตกต่างของคอลเล็กชั่นนี้จึงเป็นเรื่องราวของความเชี่ยวชาญในการคัดสรรและเทียบเฉดสีของอัญมณีมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบทั้งความสมดุลของโทนและเฉดสีของดอกไม้แต่ละดอกที่ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับต้องอาศัยการเลือกเทคนิคงานตัดและเจียระไนอัญมณีที่หลากหลาย ทั้งในแง่ของรูปทรง หน้าตัดและเหลี่ยมมุมที่ต่างกัน เพื่อให้เกิดความกลมกลืนของโทนและจังหวะของแสงสะท้อนในทุกมุมมอง สำหรับเราแล้ว ชิ้นงานเด่นๆ ของคอลเล็กชั่นนี้ขอยกให้กับแหวน Fleurs d’Hawaï ซึ่งต่างประดับด้วยอัญมณีสีสดใส และเครื่องประดับซ่อนเวลาแบบ Secret ซึ่งสามารถพลิกแพลงการสวมใส่ได้ทั้งแบบนาฬิกาข้อมือ เข็มกลัดและจี้ กับตัวเรือนเรียงรายด้วยกลีบดอกไม้อัญมณีและรอบขอบหน้าปัด รวมถึงบนตัวปิดของพวงเกสรที่เลื่อนเปิดได้ ทั้งหมดประดับตกแต่งไว้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยอัญมณีสีและเพชร

ELLE Says:

ความสดใสในเฉดสีฟ้าของอะความารีนในชิ้นงานทั้งตุ้มหู แหวน จี้ และเครื่องประดับซ่อนเวลาแบบ Secret ของคอลเล็กชั่น Fleurs d’Hawaï เป็นผลงานที่ดึงดูดสายตาได้เป็นพิเศษ ยิ่งมาจับคู่กับไวต์โกลด์ที่เป็นตัวเรือนของชิ้นงานด้วยแล้วก็ยิ่งมอบประกายแสงที่เงาวาวจับตาได้อย่างลงตัว ส่วนชิ้นเด่นของ Flowerlace เราถูกสะกดจิตตั้งแต่แรกเห็นด้วยจี้เข็มกลัดเยลโลว์โกลด์ขนาดใหญ่ซึ่งเรียงซ้อนกลีบโค้งของดอกไม้ไว้แบบ 2 ชั้น และยังประดับเพชรไว้ตรงกลางเกสรสลับกับลูกปัดทองกลมมนเงาวาว เป็นชิ้นงานที่สะท้อนถึงงานฝีมือซึ่งผสมผสานเข้ากับงานออกแบบด้วยรูปทรงโมทีฟดอกไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมซงได้อย่างดี

Floral Mastery

ในงานครั้งนี้ Van Cleef & Arpels ยังได้พาเราท่องโลกแห่งความเชี่ยวชาญในการรังสรรค์เครื่องประดับอัญมณีโดยเหล่าช่างฝีมือ ผ่านขั้นตอนของทั้งการคัดสรรอัญมณีล้ำค่าด้วยสายตาอันเฉียบคม ตลอดจนการตัดเจียระไนอย่างชำนาญของช่างอัญมณีของเมซง นับตั้งแต่การรังสรรค์โครงร่างอันอ่อนช้อย อย่างโครงลวดทองโค้งของคอลเล็กชั่น Flowerlace การตกแต่งเกสรดอกไม้ทองด้วยความกลมมน และการประกอบชิ้นงานเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อมอบภาพเชิงศิลป์และความมีชีวิตชีวาให้กับชิ้นงาน ซึ่งช่างฝีมือต้องอาศัยทั้งความมุมานะ สายตาอันเฉียบคมและความแม่นยำในการทำงานด้วยมือในแต่ละขั้นตอน เช่นเดียวกับการทำงานอย่างละเอียดอ่อนของช่างอัญมณีผู้บรรจงคัดสรรและไล่เฉดสีสำหรับสร้างสรรค์จิตรกรรมแห่งอัญมณีที่มีทั้งสีสันอันกลมกลืนเป็นธรรมชาติและคงความล้ำค่า พร้อมทั้งชูความเด่นของอัญมณีสีแต่ละเม็ดได้อย่างไม่ยิ่งหย่อนกัน อย่างในคอลเล็กชั่น Fleurs d’Hawaï ที่เน้นสะท้อนถึงสีสันของดอกไม้แห่งฮาวายที่เต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวาได้อย่างไร้ที่ติ

นอกจากนี้ อัญมณีหัวใจของทั้ง 2 คอลเล็กชั่นนั้นยังคงเป็นเรื่องราวความล้ำค่าเหนือกาลเวลาของเพชร ที่นำมาประดับตกแต่งไว้ในผลงานจากทั้งคู่ได้อย่างกลมกลืน ทั้งสอดแทรกไว้ด้วยแสงประกายสีขาวบริสุทธิ์ราวกับน้ำค้างบนมวลดอกไม้ที่โปรยปรายความสดชื่น และเล่นกับแสงสะท้อนได้อย่างระยิบระยับราวกับดอกไม้บานแรกแย้มยามเช้า ซึ่งนั่นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและชำนาญในการบรรจงตัด เจียระไน และประดับเพชรน้ำงามเหล่านี้ไว้บนชิ้นงานที่มีความละเอียดอ่อนของพื้นผิวและโครงร่างของแต่ละคอลเล็กชั่นได้อย่างสมดุลและกลมกลืนราวกับเป็นธรรมชาติมากที่สุดอีกด้วย

ELLE Says:

ระหว่างชมการสาธิตของช่างฝีมือ เราได้ถามช่างผู้รังสรรค์ตัวเรือนของโครงกลีบดอกไม้โปร่งและก้านเกสรทองพร้อมด้วยปลายลูกปัดทองกลมมนบนชิ้นงาน Flowerlace ว่าขั้นตอนใดนับเป็นงานที่ยากและท้าทายมากที่สุด ช่างฝีมือตอบเราว่าหนึ่งในนั้นคือการประกอบก้านเกสรทองที่มีทั้งรูปแบบของปลายลูกปัดทองและปลายประดับเพชรแบบเขี้ยวหนามเตยเข้ากับชิ้นงานเครื่องประดับ ด้วยเพราะต้องคำนึงถึงทั้งมิติที่ดูเหมือนกับเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของพวงเกสรดอกไม้ ขณะเดียวกันก็ต้องถ่ายทอดได้ถึงความพลิ้วไหวราวกับเคลื่อนไหวได้ โดยเฉพาะจากริ้วประกายแสงระยิบระยับที่ดูราวกับพลิ้วไหวระหว่างเพชรและลูกปัดทองเงาวาวเหล่านี้ด้วย

Van Cleef & Arpels Rose Garden

ณ Dumfries House ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ในมูลนิธิ The King’s Foundation แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของ Van Cleef & Arpels Rose Garden โดยความร่วมมือของ Van Cleef & Arpels และมูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ The King’s Foundation ที่เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2023 ผ่านการประกาศบทบาทของเมซงในฐานะองค์กรอุปถัมภ์ โดยให้การสนับสนุนด้านต่างๆ ต่อกระบวนการอนุรักษ์และพัฒนาหมู่อาคาร ร่วมกับพื้นที่อุทยานรุกขชาติในความรับผิดชอบของมูลนิธิฯ ทั้งยังเกื้อหนุนโครงการทำนุบำรุง อนุรักษ์ และพัฒนาความพร้อมทางธรรมชาติแวดล้อมให้แก่ Dumfries House ซึ่งเป็นราชนิเวศน์และที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของมูลนิธิฯ ตลอดจน Castle of Mey และพื้นที่อุทยานรายรอบซึ่งต่างก็เป็นอสังหาริมทรัพย์อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของสกอตแลนด์ ซึ่งเราได้มีโอกาสเยี่ยมชมงานฟื้นฟูและอนุรักษ์สวนกุหลาบภายในอุทยานรุกขชาติ Queen Elizabeth Walled Garden ที่ในปัจจุบันได้รับการตั้งชื่อว่า Van Cleef & Arpels Rose Garden ควบคู่ไปกับงานด้านการพัฒนาพื้นที่ป่า แนวรั้วพุ่มไม้ และกำแพงไม้ดัดตลอดทั้งเขตสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งบทบาทภายใต้ความร่วมมือของเมซง Van Cleef & Arpels และ The King’s Foundation เช่นกัน

From Archives to Floral Power

สำหรับการเดินทางค้นพบพรมแดนใหม่ของอัญมณีแห่งมวลพฤกษาครั้งนี้ เรายังได้สัมภาษณ์กับ Jean Bienaymé, International Marketing & Communications Director ของ Van Cleef & Arpels ถึงความพิเศษในการเผยโฉมของทั้ง 2 คอลเล็กชั่น ตลอดจนเรื่องราวที่ความน่าสนใจภายใต้ผลงานรังสรรค์เหล่านี้ด้วย

ELLE: อะไรคือความโดดเด่นและเป็นคุณลักษณะเฉพาะของทั้ง Flowerlace และ Fleurs d’Hawaï

Jean Bienaymé: ทั้ง 2 คอลเล็กชั่นนี้ เมซงต้องการแปลความหมายของธรรมชาติในฐานะสิ่งที่สามารถสร้างสรรค์ชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยเรื่องราวของชีวิตขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นยังสะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกของชีวิตที่เป็นแรงบันดาลใจหลักของเมซงเสมอ โดยในคอลเล็กชั่น Flowerlace จะเป็นการนำ 2 ที่มาของแรงบันดาลใจอันสูงสุด อย่าง ธรรมชาติและกูตูร์ มาอยู่รวมกัน พร้อมด้วยการเคลื่อนไหวจากงานออกแบบซึ่งผสมผสานไว้ด้วยความสง่างามของกลีบดอกไม้เข้ากับความบางเบาของริบบิ้น ทั้งยังเรืองรองไปด้วยเพชรที่ผ่านการคัดสรรตามเกณฑ์อันเข้มงวด ซึ่งสะท้อนถึงประเพณีด้านความเป็นเลิศของเมซง และเป็นผลงานที่หยั่งรากลึกในดีเอ็นเอของแบรนด์ที่แสดงออกผ่าน 2 สัญลักษณ์แห่งความสวยงาม อย่าง เข็มกลัด Silhouette ซึ่งรังสรรค์ขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1930 และคอลเล็กชั่น Flowerlace High Jewelry ที่สร้างสรรค์ขึ้นในปี 2007

ขณะที่ Fleurs d’Hawaï เป็นเหมือนบทกวีแห่งสีสัน ที่ถ่ายทอดความสวยงามด้วยดอกไม้อันล้ำค่าผสมผสานระหว่างอัญมณีสีและเพชร ซึ่งยังคงได้แรงบันดาลใจมาจากมรดกของเมซง นำมารังสรรค์เป็นองค์ประกอบที่เคลื่อนไหวและอุทิศให้กับหัวใจของธรรมชาติ คอลเล็กชั่นนี้ยังเดินรอยตามผลงานสร้างสรรค์อันเปี่ยมด้วยสัญลักษณ์ของแบรนด์ อย่าง Passe-Partout ที่จดสิทธิบัตรในปี 1938 ด้วยเอกลักษณ์ความงดงามของลวดลายดอกไม้หลากสีสันที่ประกอบบนสายโซ่ทอง Tubogas โดยตกแต่งด้วยกลีบดอกไม้และใบที่ดูอสมมาตร ทั้งยังเคลื่อนไหวได้ที่ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติที่มีชีวิต และสะท้อนถึงหัวใจในงานสร้างสรรค์ลวดลายดอกไม้ของเมซงอีกด้วย

ELLE: คิดว่าใครที่น่าจะเหมาะสำหรับ 2 คอลเล็กชั่นนี้ และชิ้นงานใดที่นับเป็นไฮไลต์สำหรับการเฉลิมฉลองการเปิดตัว  

J.B.: เหมือนกับทุกๆ ผลงานของเรา ที่ชิ้นงานจากทั้ง 2 คอลเล็กชั่นนี้ออกแบบมาเพื่อตอบรับทุกห้วงอารมณ์ความรู้สึกของผู้สวมใส่ จะเห็นได้ว่าในคอลเล็กชั่นใหม่นี้ยังคงนำเสนอความหลากหลายที่สามารถสวมใส่ประกอบหรือผสมผสานเข้าด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็น ความหลากหลายของอัญมณีสีสันต่างๆ ใน Fleurs d’Hawaï ทั้งยังถ่ายทอดถึงประเพณีของเมซงในการรังสรรค์เครื่องประดับที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสวมใส่ได้ อย่างเข็มกลัดและจี้ Flowerlace ซึ่งสามารถหยิบมาสวมใส่ได้หลากหลายวิธี และเครื่องประดับซ่อนเวลาแบบ Secret ของ Fleurs d’Hawaï ก็เช่นกันที่นำมาพลิกแพลงการสวมใส่ได้ถึง 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกาข้อมือ เข็มกลัด และจี้สร้อยคอเป็นต้น

ELLE: จริงๆ แล้ว ผลงานเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับคอลเล็กชั่นเครื่องประดับแห่งดอกไม้ หรือ Flora อื่นๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบันของเมซงอย่างไรบ้าง

J.B.: สำหรับเมซง ทุกกระบวนการสร้างสรรค์ล้วนมีที่มาจากมรดกอันรุ่มรวยของเราเสมอ เช่นใน Flowerlace ก็เป็นตัวอย่างอันร่วมสมัยของผลงานชิ้นไอคอนิกในอดีตของเรา ซึ่งนำมาสู่การตีความใหม่ของรูปทรงโค้งและความเปิดโปร่งของกลีบดอกไม้ รวมถึงความบางเบาซึ่งนับเป็นการตีความสไตล์ใหม่ให้กับแรงบันดาลใจจากมวลดอกไม้ด้วย ส่วน Fleurs d’Hawaï ก็เช่นกันที่สะท้อนได้ดีถึงสไตล์ของเมซง ด้วยกลีบดอกไม้ที่เปล่งประกายระยิบระยับโดยการประดับอัญมณี ทั้งยังสะท้อนถึงชิ้นงานมรดกซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสวมใส่ได้ เช่นเดียวกับการเลือกตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้ได้อย่างงดงามสะกดสายตาเสมอ

ELLE: ทำไมถึงเลือกสกอตแลนด์สำหรับการเปิดตัวทั้ง 2 คอลเล็กชั่นนี้

J.B.: ด้วยสถานที่ที่ยังคงความทรงเกียรติและเต็มไปด้วยเสน่ห์ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของคอลเล็กชั่นแห่งมวลดอกไม้นี้ของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2 คอลเล็กชั่นใหม่นี้ ด้วยความสวยงามที่สะท้อนถึงความหลากหลายและมุมมองที่มีต่อหัวใจแห่งธรรมชาติ ซึ่งสร้างสรรค์กลายเป็นเอกลักษณ์ให้กับโลกแห่งธรรมชาติเหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้งและแท้จริง นอกจากนี้ Dumfries House ยังสามารถเล่าเรื่องราวแห่งความมุ่งมั่นและการอุทิศตนของเราให้กับการอนุรักษ์สวนธรรมชาติต่างๆ โดยนับตั้งแต่ปี 2023 เมซงได้รับบทบาทเป็น Principal Patron of the King’s Foundation Gardens and Estates ในฐานะองค์กรสนับสนุนด้านงานอนุรักษ์และฟื้นฟูสถานที่และสวนธรรมชาติต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการร่วมอนุรักษ์ Dumfries House แห่งนี้ด้วย

ELLE: คุณจะสื่อสารอย่างไรถึงความน่าสนใจและเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ 2 คอลเล็กชั่นใหม่นี้  

JB: สิ่งใหม่ๆ อันงดงามที่เราได้เปิดตัวแนะนำนั้นล้วนมีความเชื่อมโยงและสืบทอดความต่อเนื่องมาจากมรดกของเรา ขณะเดียวกันก็ยังคงถ่ายทอดถึงมุมมองแห่งธรรมชาติได้อย่างแท้จริงเสมอ หัวใจอันเป็นดีเอ็นเอและความแปลกใหม่ในผลงานรังสรรค์เหล่านี้จะแสดงออกได้เป็นอย่างดีถึงจิตวิญญาณแห่งความต่อเนื่องและการสืบทอดมรดกไว้อย่างมั่นคงในแบบฉบับของเมซง

การเดินทางสู่สกอตแลนด์ และได้ร่วมสัมผัสถึงเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจของมวลดอกไม้อันเป็นต้นกำเนิดของการรังสรรค์เครื่องประดับอัญมณีอันสวยงามเลอค่าเหล่านี้ นับเป็นประสบการณ์อันงดงามและเปิดโอกาสได้เราได้ร่วมสัมผัสถึงโลกแห่งธรรมชาติและดอกไม้ที่กลายมาเป็นพลังสู่การสร้างสรรค์ชิ้นงานอันทรงคุณค่าของ Van Cleef & Arpels อย่างลึกซึ้งอีกครั้ง

Latest Posts

Don't Miss