ถ้าหากให้พูดถึง 2 หนุ่มคู่ขวัญเคมีดีชวนเขินในสัปดาห์นี้ก็ต้องเป็นคู่ ‘Prince Henry & Alex’ จาก Red White & Royal Blue อย่างแน่นอน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักระหว่างเจ้าชายอังกฤษและลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อดังที่มี 2 นักแสดงดาวรุ่งอย่าง Taylor Zakhar Perez และ Nicholas Galitzine มารับบทนำ ซึ่งเราเชื่อว่าเมื่อคุณดูจบแล้วน่าจะยังมูฟออนไปจากความน่ารักของพวกเขาไม่ไหว เราจึงได้รวบรวม 5 เรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจจากภาพยนตร์มาให้แฟนๆ ได้อ่านกัน!
Spoiler Alert: บทความนี้อาจมีการสปอยล์เนื้อหาบางส่วนจากภาพยนตร์

1.ทีมงานใช้เวลาแคสต์นักแสดงกว่า 5 เดือนเพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
เรียกได้ว่าคุ้มค่าการเฟ้นหาตัวละครกว่า 5 เดือนจริงๆ เพราะหลังจากที่ทีมงานและผู้กำกับพยายามหานักแสดงมากกว่า 100 คนในระยะเวลากว่าครึ่งปี ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับสองหนุ่มที่เหมาะกับบทบาทนี้อย่างเทย์เลอร์และนิโคลัส ซึ่งหลังจากภาพยนตร์ฉายออกมาแล้วในสตรีมมิ่งก็เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าพวกเขาแสดงได้ดี มีเคมียอดเยี่ยม และทำแฟนๆ หยุดยิ้มไม่ได้จริงๆ

“เราใช้เวลาหานักแสดงกว่า 5 เดือน โดยเฉพาะตัวละครอเล็กซ์เราใช้เวลาหานักแสดงนานมากๆ แต่ตอนที่เราได้เจอกับเทย์เลอร์และนิคท่ามกลางนักแสดงกว่าร้อยคน พวกเขาทำให้เรารู้สึกว่านี่แหละใช่ แถมเขายังดึงดูดใจเราได้อยู่หมัด ทั้งสองคนเหมาะกับบทนี้มากจริงๆ… มันมีบางสิ่งบางอย่างที่สวยงามระหว่างสองนักแสดงที่พวกเขามาร่วมกันสร้างความสัมพันธ์ในฐานะพาร์ตเนอร์ เพราะมันมีทั้งความรู้สึกของการไว้เนื้อเชื่อใจและการเคารพซึ่งกันและกันด้วย”
ใครสนใจติดตามอินสตาแกรมของนักแสดงทั้งสองคนสามารถติดตามได้ที่ Taylor Zakhar Perez และ Nicholas Galitzine
2.คุณสามารถติดตามอินสตาแกรมส่วนตัวของตัวละครได้จริง
เคยรู้สึกไหมว่าเมื่อเราดูหนังจบแล้วรู้สึกค้างคาเหลือเกินเพราะอยากจะติดตามชีวิตตัวละคร ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีหนังเรื่องไหนชวนให้รู้จักตัวละครต่อมากขนาดนั้น แต่หนังเรื่องนี้จะแก้ไขปัญหานั้นให้คุณได้ เพราะพวกเขาสร้างอินสตาแกรมส่วนตัวของตัวละครทั้งสองคนให้แฟนๆ ไปติดตามกัน โดยในไอจีก็จะมีภาพทั้งในชีวิตประจำวัน ภาพทางการ เรื่องเล่าต่างๆ และทั้งสองคนก็จะมาคอมเมนต์อินสตาแกรมกันให้แฟนๆ ยิ้มแก้มปริด้วย!
ใครชื่นชอบตัวละครเจ้าชายและอเล็กซ์ก็สามารถติดตามอินสตาแกรมของตัวละครได้ในลิงก์นี้ Alex Claremont-Diaz และ Prince Henry




3. บทหนังสุดเสียดสีจากไอเดียของคนเขียนและผู้กำกับ
ฉากสุดตราตรึงใจและชวนหัวเราะมากที่สุดในเรื่องก็ต้องมีฉากเค้กล้มและฉากเลขาซาห์ราจับได้ว่าทั้งสองคนแอบคบหากัน เพราะเธอได้พูดประโยคจิกกัดประเทศอังกฤษแบบสุดๆ ไม่ว่าจะด้วยบทเลขาบอกกับเจ้าชายว่าถ้ายังไม่กลับอังกฤษจะเบร็กซิตหัวให้กระเด็นออกจากตัว รวมไปถึงประโยคเจ้าชายบอกว่าตัวเองเป็นแค่ตัวสำรอง (Spare) ก็อ้างอิงไปถึงหนังสือเรื่อง Spare ชีวประวัติของเจ้าชายแฮร์รี่ที่ไม่ขึ้นท็อปหนังสือขายดีอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน ฉากเค้กล้มที่พูดถึงการทำเค้กขนาดใหญ่จนต้องถอดประตูในวังออกก่อนถึงจะเอาเค้กเข้าได้ นั่นก็อ้างอิงไปถึงการสร้างเค้กไซซ์ยักษ์ในการแต่งงานของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์อย่างเคทและวิลเลี่ยมนั่นเอง


หรือแม้แต่บทพูดคุยกันง่ายๆ ของตัวละครอย่างการถามว่า เจ้าชายเฮนรี่ชอบหนังเรื่องอะไร และเจ้าชายเฮนรี่ก็ตอบว่าเรื่อง In The Mood For Love นั่นก็เป็นบทของผู้กำกับเพิ่มเข้าไปเองหน้าฉาก แต่กลับกลายเป็นว่าบทนี้กลายเป็นไวรัลในหมู่แฟนคลับมากๆ เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังรักในตำนานแห่งเอเชีย ดังนั้นการที่เจ้าชายเฮนรี่บ่นกับอเล็กซ์ว่า “บางครั้งฉันก็ลืมว่าคนอเมริกันแบบนายไร้วัฒนธรรมแค่ไหน” หรือ “นั่นเป็นหนังชวนระทวยใจที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลย” ก็ทำให้แฟนๆ อดหัวเราะอเล็กซ์ไม่ได้

“ผมบอกให้เทย์เลอร์ถามว่าหนังเรื่องโปรดของเขาคืออะไร แต่นิโคลัสนึกไม่ออกว่าจะตอบยังไง ผมเลยบอกไปว่าถ้าอย่างนั้นก็ In The Mood For Love แล้วกัน จริงๆ กะจะเอาเรื่อง Happy Together ที่เป็นหนังหว่องกาไวด้วย แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องความโรแมนติกก็ต้องเรื่องนี้เท่านั้นแหละ”
Matthew Lopez ผู้กำกับภาพยนตร์กล่าว
4.ฉากเต้นรำในพิพิธภัณฑ์เวอร์ชั่นนิยายไม่ได้ใช้เพลงเดียวกันกับในหนัง
แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จากเวอร์ชั่นนิยาย แต่ในฉากการเต้นรำของทั้งสองคนในพิพิธภัณฑ์ Victoria & Albert เปลี่ยนจากเพลง Your Song ของศิลปินรุ่นใหญ่อย่าง Elton John เป็นเพลง Can’t Help Falling in Love ซึ่งทางผู้กำกับเผยว่า ตัวเขาชอบศิลปิน Elton John มากๆ แต่ว่าเมื่อถ่ายทำแล้วเขามองไม่เห็นภาพสอดคล้องกับเพลงเท่าที่คิดไว้ เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้เพลงนี้แทน

5.ภาพยนตร์ที่เป็นภาพแทนของกลุ่มคนที่หลากหลายในสังคม
ถ้าเราสังเกตดีๆ จะพบว่าภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของตัวละครที่มาจากกลุ่มคนหลากหลายในสังคม ทั้งตัวละครอย่างอเล็กซ์ผู้เป็นลูกชายของผู้อพยพเม็กซิกัน, คนดำ, ตัวละครจากแถบละติน อินเดีย หรือเปอร์เซีย ทั้งยังฉายภาพผู้หญิงในฐานะผู้นำประเทศอย่างตัวละคร ‘เอลเลน’ แม่ของอเล็กซ์ที่เป็นประธานาธิบดี หรือจะเป็นฉากการปรากฏตัวของนายกหญิงจากอังกฤษ และแน่นอนกับเรื่องราวของตัวละครซึ่งเป็นกลุ่มคนหลากหลายทางเพศมาตั้งแต่ต้นอีกด้วย




“ไม่ว่าจะเป็นชุมชนคนข้ามเพศ ชุมชน LGBTQ ชุมชนอินเดีย ชุมชนเปอร์เซีย ชุมชนละติน ฯลฯ มีการนำเสนอภาพแทนของกลุ่มคนทหลากหลายในหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็รวมถึงภาพของผู้หญิงเก่งที่ต้องการเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ทุกอย่างถูกพูดถึงในหนังเรื่องนี้และพูดถึงแบบไม่รู้สึกว่าเข้าใจยาก หรือจงใจยัดเยียดว่า ‘ดูสิว่าคนแบบพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งในสังคมนะ’ แต่ในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แบบนั้น สิ่งที่หนังบอกคือ นี่แหละคือความเป็นจริงที่ไม่ไกลจากโลกความเป็นจริงที่เราอาศัย และผมคิดว่านั่นคือน่าตื่นเต้นจริงๆ” – Taylor Zakhar Perez

สิ่งน่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือพวกเขายังพูดถึงกลุ่มคนไบเซ็กชวล เพราะบางครั้งหลายคนอาจจะคิดว่าคนที่เป็นไบเซ็กชวลไม่ได้มีอยู่จริง ไม่มีทางจะชอบสองเพศพร้อมกัน นั่นจึงทำให้อัตลักษณ์ของคนไบเซ็กชวลหายไป แต่เรื่องนี้กลับแสดงให้เห็นในฉากการคัมเอาต์ของอเล็กซ์ว่าตัวอักษร B-Bisexual ไม่ได้เป็นตัวอักษรที่ถูกมองข้ามไปในคำว่า LGBTQIA+

จากการแสดงและเรื่องราวของพวกเขาในครั้งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ยุคใหม่ที่น่าสนใจ แฝงไปด้วยเรื่องราวในสังคม ทั้งยังชวนหัวเราะด้วยมุกตลกเสียดสีมากมาย ที่สำคัญก็คือตัวนักแสดงคู่กันทั้งสองก็ยังมีเคมีอันแสนน่ารักและแสดงได้เขินจิกหมอนแบบสุดๆ ใครยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ บอกเลยว่าห้ามพลาด!
