การไว้ทุกข์อันยาวนาน 40 ปีของราชินีอังกฤษ นำไปสู่แรงบันดาลขั้วตรงข้ามให้หญิงกำพร้าจากชนชั้นแรงงานทำชุดดำในความหมายที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง Prince Albert พระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเสด็จสวรรคตด้วยไข้ไทฟอยด์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1861
นับจากวันนั้น ฉลองพระองค์ของควีนวิกตอเรียแทบจะเป็นสีดำล้วน มีสีขาวแซมบ้างรำไร และด้วยการไว้ทุกข์อันยาวนานถึง 40 ปีของราชินีแห่งอังกฤษนี้เอง ได้ส่งแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อวิถีการแต่งกายของผู้คน แม้กระทั่งส่งอิทธิพลต่อการคิดค้นเดรสเปลี่ยนโลก ‘Little Black Dress’ ของโกโก ชาเนล
‘ชุดดำ’ แฝงความหมายหลายนัยยะมากกว่าเป็นเพียง ‘ชุดไว้ทุกข์‘


Black Royals
สีดำไม่ได้ถูกตีตราว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ในโลกตะวันตกมาแต่เดิม หากเป็นเวลานานหลายศตวรรษที่ผู้คนใส่สีขาวไว้ทุกข์ ด้วยเพราะผ้าสีขาวราคาเยาว์และทุกครัวเรือนมีอยู่เป็นทุนเดิม แต่เพื่อไม่ให้ถูกกลืนกลายว่าเป็นชนชั้นเดียวกัน เหล่าชนชั้นสูงจึงมักใส่ชุดสีม่วงไว้ทุกข์เพื่อให้ตนเองแหลมเด่นท่ามกลางฝูงชน และเพื่อประกาศถึงฐานะอันมั่งคั่งระดับมีปัญญาจ่ายค่าสีย้อมผ้าได้ กระทั่งยุคจักรวรรดิโรมันรุ่งเรือง เกิดยูนิฟอร์มสำหรับไว้ทุกข์ ‘toga pulla’ หรือก็คือผ้าตอกาที่ทอจากวูลสีดำ
แต่ประวัติศาสตร์ต้องจารไว้ว่า ผู้ที่ทำให้สีดำคือสีแห่งการไว้ทุกข์อย่างเป็นทางการในทุกชนชั้นวรรณะ คือ ‘ควีนวิกตอเรีย’

Photo: Public Domain
หลังจากเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีเสด็จสวรรคตในปี 1861 ราชินีแห่งอังกฤษทรงชุดดำไปอีก 40 ปีตลอดพระชนม์ชีพ ระยะเวลาไว้ทุกข์อันยาวนาน ชนิดที่นักประวัติศาสตร์เองยังเรียกว่า ‘สุดโต่ง’ เช่นนี้กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ก่อให้เกิดระเบียบแบบแผนในการไว้ทุกข์อันเข้มงวดและเต็มไปด้วยข้อบังคับยิบย่อยในช่วงหลังของศตวรรษที่ 19 เช่น Deep Mourning ซึ่งผู้ที่เป็นม่าย คู่ชีวิตจากไปต้องปฏิบัติตามจริงจัง ใส่ได้แต่ชุดสีดำเรียบๆ ที่ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อด้านเท่านั้น ไม่มีดีเทลฟูมฟาย จะมาใส่ลูกไม้เติมระบายไม่ได้เด็ดขาด กิจกรรมบันเทิงงานรื่นเริงใดใดต้องงดเข้าร่วม 1-2 ปี
ถัดมาเป็น Ordinary Mourning ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลำดับชั้นตามความสนิท ได้แก่ First Mourning ไว้ทุกข์สำหรับญาติสนิทที่สุด เช่น พ่อแม่หรือลูก จุดนี้แม้ใส่ได้แต่สีดำล้วน แต่อนุโลมให้ใช้ผ้ามันเงาอย่างผ้าไหม และแต่งดีเทลได้บ้าง เช่น เฟอร์ โบว์ ลูกไม้ และใส่เครื่องประดับสีดำเท่านั้น ไว้ทุกข์ในระยะนี้ตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 1 ปีตามความสนิท
ส่วน Light Mourning สำหรับสตรีที่อยู่ในช่วงไว้ทุกข์แต่จำเป็นต้องไปร่วมพิธีแต่งงาน ครั้นจะแต่งดำล้วนไปก็จะไม่ให้เกียรติเจ้าภาพ จึงอนุโลมให้ใส่สีสันได้ เช่น สีม่วง เทาและขาว รวมทั้งใส่เครื่องประดับทอง และหมวกบอนเน็ตดำตกแต่งลูกปัดหรือดอกไม้สีม่วงและขาวได้บ้าง

Courtesy of London Museum
สังคมมีขนบว่าพ่อม่ายต้องกลับไปทำงานทันทีหลังเสร็จสิ้นงานศพ จึงไม่ต้องไว้ทุกข์เข้มงวดยาวนานเท่าแม่ม่าย ส่วนชนชั้นสูงมีกำลังทรัพย์เกินพอจะสั่งตัดชุดไว้ทุกข์เซตใหม่ให้ตัวเองใส่ไปได้ยาวๆ เป็นปี หนำซ้ำยังออกค่าตัดชุดไว้ทุกข์ในทุกระยะให้ญาติพี่น้องได้ทั้งตระกูล
ชุดไว้ทุกข์ในยุควิกตอเรียไม่ได้มีแค่เสื้อผ้า แต่ยังรวมไปถึงเครื่องประดับไว้ทุกข์ (เช่น ล็อกเก็ตบรรจุปอยผมผู้จากไป) หมวกและผ้าคลุมหน้าไว้ทุกข์ ผ้าเช็ดหน้าไว้ทุกข์ ฯลฯ
คำถามคือคนทรัพย์จางจะไว้ทุกข์เป็นปีๆ ได้อย่างไร? หากไม่จำต้องนำชุดเดิมที่มีไปย้อมสีดำเพื่อใส่ไว้ทุกข์ นั่นเท่ากับว่า คนจนจึงต้องใส่ชุดไว้ทุกข์อย่างถาวรไปโดยปริยาย เพราะไม่มีเงินจะตัดเสื้อผ้าใหม่ได้แม้ออกทุกข์ไปแล้ว
เด็กๆ ในยุควิกตอเรียนจึงไม่เพียงได้เรียนรู้สัจธรรมแห่งความตาย หากพวกเขายังได้เรียนรู้ถึงลำดับชั้นในสังคมผ่านการสังเกตเนื้อผ้า เครื่องประดับ แม้กระทั่งสีของชุดไว้ทุกข์ผ่านการก้มมองชุดดำที่ตนสวม และเฝ้ามองชุดดำของคนอื่น
Chanel’s Luxurious Poverty
ความแพร่หลายของชุดไว้ทุกข์ในยุควิกตอเรียนสอดรับการมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมที่ตกทอดมาถึงทุกวันนี้อย่าง ‘เสื้อผ้าสำเร็จรูป หรือ read-to-wear’ และ ‘แคตาล็อก’
ชุดไว้ทุกข์ของควีนวิกตอเรียไม่เพียงระบาดไปทั่วอังกฤษเท่านั้น แต่กลายเป็นประเพณีปฏิบัติไปทั่วยุโรป และลามไปถึงอเมริกา ซึ่งห้างร้านต่างๆ ต้องเปิด ‘แผนกชุดไว้ทุกข์’ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และทำแคตาล็อกส่งไปตามบ้านเรือนนอกตัวเมืองให้ได้สั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ ส่วนนิตยสารแฟชั่นทำคอลัมน์ ‘เทรนด์ชุดไว้ทุกข์ล่าสุด’ เพื่อให้ผู้คนไว้อาลัยได้อย่างไม่ถูกสายตาคนรอบข้างประณามและไม่ตกเทรนด์ จนกระทั่งมีสตรีนางหนึ่งเห็นต่างออกไป
โกโก ชาเนล เห็นสีดำมาตลอดทั้งชีวิตของเธอ ทั้งชุดนางชีในบ้านเด็กกำพร้าที่เธอเติบโตมา ทั้งชุดไว้ทุกข์ที่ผู้คนใส่ไว้อาลัยแด่ผู้จากไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 แด่การตายราวใบไม้ร่วงของผู้คนกว่า 50 ล้านคนทั่วโลกจากไข้หวัดสเปน สำทับด้วยแบบแผนชุดไว้ทุกข์ที่แผ่อิทธิพลมาจากยุควิกตอเรียน และ ‘Black Ascots 1910’ งานแข่งม้าอันยิ่งใหญ่ที่จัดในช่วงการเสด็จสวรรคตของ King Edward VII (แฟชั่นชุดไว้ทุกข์ของชนชั้นสูงในงานนั้นบันดาลใจให้ Cecil Beaton ออกแบบชุดให้กับ Audrey Hepburn ในหนัง My Fair Lady (1964)


ชาเนลเห็นต่างออกไปว่า ชุดดำไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องแบบของคนรับใช้และชุดไว้ทุกข์ให้แก่คนตายเสมอไป ในปี 1926 เธอจึงทำเดรสสีดำทรงหลวมเรียบๆ ชายกระโปรงสั้นเหนือตาตุ่มตามเทรนด์ Flapper ในยุค 1920s โดยใช้ผ้าไหมเครปเดอชีนราคาแพง หาใช่ผ้าเครปเนื้อทึบอึดอัดที่ทำจากเศษผ้าเหลือทิ้งแล้วย้อมสีดำ

Courtesy of the National Museum of Scotland
เธอเรียกลูกรักรายใหม่นี้ว่า ‘Little Black Dress’ เดรสสีดำที่ไม่ใช่ชุดไว้ทุกข์ ไม่ใช่ชุดของชนชั้นแรงงาน (อีกต่อไป) แต่เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราที่ชาเนลกล่าวว่าเป็น ‘ความยากไร้อันหรูหรา’ เช่นเดียวกับที่เธอทำให้ชนชั้นสูงสละเพชรแท้มาใส่ไข่มุกปลอมของ Chanel ได้
แน่ละว่า มีดีไซเนอร์มากมายที่ทำชุดดำมาก่อนหน้านี้ แต่ Little Black Dress ของ Chanel เปลี่ยนโลกเพราะ “มันคือสัญลักษณ์ของความเป็นประชาธิปไตยและความเป็นสมัยใหม่ในเครื่องแต่งกายผู้หญิง” Georgina Ripley หัวหน้าภัณฑารักษ์แห่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์ ซึ่งเคยจัดแสดงนิทรรศการ ‘Beyond the Little Black Dress’ ในปี 2023 กล่าว ผู้หญิงเริ่มมีอิสระ ออกไปทำงานนอกบ้าน หาเลี้ยงตนเอง ขณะเดียวกันเสื้อผ้าของพวกเธอเอื้อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก ไม่ต้องขังร่างกายไว้ใต้คอร์เซตและกระโปรงยาวลากพื้นอีกต่อไป
Little Black Dress โดย Chanel และตัวชาเนลเองก็สวมจิตวิญญาณของสตรีทั้งหลายในยุคนั้น เหมือนที่เธอเคยตั้งใจไว้ว่าแม้จะไม่มีจิวเวลรี่ราคาแพง แต่เธอมีไอเดีย และแม้จะสูญเสียคนรักไปในอุบัติเหตุซึ่งทำให้เธอหัวใจสลาย แต่วิชั่นและคราฟต์ที่อยากจะทำเครื่องแต่งกายเรียบ สง่าและแตกต่างให้กับผู้หญิงด้วยกันเองที่กอบกู้เธอให้ทำ Chanel “แบรนด์ที่ไม่ได้ขายเสื้อผ้า แต่ขายแอตติจูด”

จากชุดไว้ทุกข์ของควีนวิกตอเรีย ซึ่งส่งอิทธิพลในขั้วตรงข้ามให้เกิด Little Black Dress ของ Chanel ได้ก่อเกิด ‘ชุดดำเปลี่ยนโลก’ ตามมาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเดรสคล้องคอจาก Givenchy ที่ออดรีย์ เฮปเบิร์นใส่กินขนมปังในหนัง Breakfast at Tiffany’s ในปี 1961, Le Smoking Jacket ทักซิโดสำหรับผู้หญิงตัวแรกโดย Yves Saint Laurent ในปี 1966 ไปจนถึงชุดดำของแก๊งดีไซเนอร์ญี่ปุ่นที่ไปบุกปารีสในยุค 1980s อย่าง Issey Miyake และ Yohji Yamamoto ซึ่งกลายเป็นเครื่องแบบของคนคูลๆ ในแวดวงศิลปะ จนทุกวันนี้ Sarah Burton นำชุดดำในตำนานของ Hubert de Givenchy มาตีความใหม่อีกรอบเมื่อก้าวมาเป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์คนล่าสุดของเมซง ฯลฯ

ไม่ว่าจะอยู่แวดวงไหน สถานะทางสังคมจะเป็นเช่นไร เราไม่อาจหนีชุดดำไปได้
“ไม่มีใครแต่งตัวมากไปหรือน้อยไปใน Little Black Dress”
Karl Lagerfeld กล่าวไว้ – อย่างน่าเห็นด้วย.
Text: Suphakdipa Poolsap

