เมื่อดอกไม้โปรดของมาดมัวแซลชาเนล อย่างดอกคามิลเลียไม่ได้เป็นแค่สัญลักษณ์ประจำเมซงชาเนลเพียงอย่างเดียว หากแต่ว่าความงามอันไร้ที่ติของดอกคามิลเลียนั้นยังมอบคุณค่าในเชิงความงามกับคุณสมบัติที่มีส่วนช่วยในการดูแลและฟื้นบำรุงผิวที่มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไปตามสายพันธุ์ จึงทำให้คามิลเลียได้กลายมาเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญในสกินแคร์ของแบรนด์ ที่โดดเด่นในเรื่องการช่วยเติมความชุ่มชื่นและฟื้นคืนความสดชื่นมีชีวิตชีวาให้กับผิว
JOURNEY BEGINS
ทริปในครั้งนี้เริ่มต้นจากกรุงปารีสกับการเดินทางด้วยรถไฟด้วยความตั้งใจของแบรนด์ที่อยากมีส่วนช่วยในการช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ โดยมีจุดหมายปลายทางคือโกฌักค์ ไกลออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส และแม้การเดินทางจะกินระยะเวลาร่วม 4 ชั่วโมงแต่กลับไม่ได้ทำให้ผู้ร่วมทริปของเราในครั้งนี้รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างไร คงเป็นเพราะวิวทิวทัศน์ภายนอกที่ทำให้เราเพลิดเพลินจนทำให้ถึงจุดหมายปลายทางเร็วกว่าที่คิด
THE EXTRAORDINARY GUAJACQ
ณ เมืองโกฌักค์ ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1998 กับการร่วมมือกันระหว่างฌ็อง โตปี (Jean Thoby) ผู้เชี่ยวชาญด้านคามิลเลียระดับนานาชาติและชาเนลได้ถือเกิดโครงการขนาดใหญ่ที่อุทิศให้ดอกคามิลเลียโดยเฉพาะ ด้วยสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมที่ขึ้นชื่อเรื่องฝนที่ตกตลอดทั้งปี ผืนดินมีความลึก และพื้นที่ที่แทบไม่มีลมจึงเป็นใจและเหมาะสมอย่างที่สุดเลยถูกปักหมุดให้เป็นที่ตั้งของฟาร์มคามิลเลีย และห้องปฏิบัติกลางแจ้งเพื่อเอื้อให้ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถเฝ้าปลูก สังเกตและหยิบเราเอาคุณค่าของดอกคามิลเลียได้อย่างใกล้ชิดโดยรวบรวมดอกคามิลเลียไว้มากมายหลายหลายสายพันธุ์ที่มีมากกว่า 2,000 ชนิดทั่วโลก
และเพื่อคงความสมบูรณ์ให้กับพื้นที่แห่งนี้จึงได้มีการผสมผสานการออกแบบระบบนิเวศตามธรรมชาติร่วมกับการนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้เพื่อจัดสรรเรื่องความสมดุลเพื่อความยั่งยืนโดยการทำฟาร์มทั้งหมดจะไม่มีการใช้สารเคมีแม้แต่ชนิดเดียว แต่จะเสริมด้วยการเพาะปลูกพืชพรรณชนิดอื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตของดอกคามิลเลีย เช่นต้นไม้ที่ให้ร่มเงา การปลูกพืชคลุมดิน เพื่อเสริมควาแข็งแรงให้กับพืช ดินและน้ำ ซึ่งจากการที่ผู้เขียนได้เยี่ยมชมฟาร์มทำให้เราได้เห็นถึงความเป็นธรรมชาติโดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นร่องทางเดินของกวาง (หรืออาจจะเป็นสัตว์อื่นๆที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ) รูที่คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของผึ้ง ผีเสื้อและแมลง ที่ตอกย้ำในเรื่องของการอนุรักษ์วิถีทางการเกษตรที่หลวมรวมความหลากหลายทางชีวภาพที่มีความเป็นธรรมชาติสูงและที่สำคัญคือดอกคามิลเลียที่สวยงามแบบไร้ที่ติ โดยฟิลิปป์ กรองดรี (Phillip Grandy) ผู้จัดการด้านปฎิบัติการของฟาร์มของชาเนลที่โกฌัคก์ได้กว่าวว่า วิถีในการทำเกษตรลักษณะนี้ทำให้เขาได้เหมือนอยู่ในห้องปฏิบัติการกลางแจ้งอย่างแท้จริง ทำให้มั่นใจได้ว่าการทดลองต่างๆ นั้นยังคงช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศพร้อมกับความเข้าใจในความหลากหลายทางชีวิภาพ ซึ่งบทเรียนที่เรียนรู้จากการทดลองของเขานั้นก็น่าจะเกิดประโยชน์โดยสามารถนำไปแชร์ให้กับแวดวงทางการเกษตรเพื่อเกิดการเติมโตในภายภาคหน้า
Do you know? วิธีการทำฟาร์มในลักษณะนี้จึงทำให้พื้นที่แห่งนี้ได้รับตราสัญลักษณ์ HEV (High Environment Value) หรือสัญลักษณ์ที่รัฐบาลฝรั่งเศสได้มอบให้กับให้กับฟาร์มที่ทำเกษตรแบบคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
BEAUTY WITHIN
สืบเนื่องจากความเฉพาะตัวของดอกคามิลเลียที่แม้ภายนอกจะดูบอบบางและไร้ซึ่งกลิ่นหอม (มีกลิ่นแค่บางสายพันธุ์เท่านั้น) ความสามารถในการทนทานต่อน้ำค้างในฤดูหนาว ที่บานสะพรั่งในช่วงเดือนมีนาคม แต่ทว่าไม่ว่าจะผลัดเปลี่ยนไปกี่ฤดูก็กลับมีใบสีเขียวสดตลอดทั้งปีจึงจุดประกายให้ CHANEL Research ได้หันมาสนใจดอกไม้อันเป็นหนึ่งในไอคอนของแบรนด์ โดยนิโคลา ฟูชาติ (Nicola Fuzzati) ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมและพัฒนาส่วนประกอบเครื่องสำอางได้อธิบายให้เราฟังด้วยน้ำเสียงสนุกสนานว่า คามิลเลียเป็นดอกไม้ที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีวันเสื่อมสลาย หากมองในพันธุกรรมแล้วคามิลเลียเหมือนไม่ได้ถูกตั้งโปรแกรมมาให้ตายเพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่ พืชชนิดนี้รั้นจะแข็งแรงขึ้นทุกวันๆ จึงทำให้นักวิทยศาสตร์อย่างเขาสนใจเป็นอย่างมากจึงจุดประกายให้ทีม CHANEL Research นำเอาดอกคามิลเลียมาทดสอบวิจัยและพัฒนาเพื่อหาความเชื่อมโยงในแง่ของคุณสมบัติและส่วนผสมในสกินแคร์ โดยพื้นที่ของแล็บที่อยู่ใกล้ชิดกับฟาร์มและห้องปฏิบัติการกลางแจ้งทำให้เข้าได้ใกล้ชิดกว่าคามิลเลียในระดับที่เราขอใช้คำว่าแนบสนิท ทำให้สามารถคลุกคลี เก็บเกี่ยวและนำดอกไม้ไปวิจัยได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางของดอกไม้อันบอบบาง โดยจะอาศัยจังหวะในช่วงเก็บเกี่ยวที่เป็นไปตามกระบวนการตามธรรมชาติคือการเก็บด้วยมือ จากนั้นจึงนำดอกไม้ไปใส่ไว้ในตระกร้า และจึงนำไปแช่แข็งทันทีเพื่อรักษาโมเลกุลของดอกไม้ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
ซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าและวิจัยมานานหลายปี ทำให้เขาค้นพบคุณค่าของดอกคามิลเลียสีแดงสายพันธุ์เดอะซาร์ (The Czar) ที่มีคุณสมบัติเด่นในการช่วยฟื้นบำรุงคืนความสดชื่นให้กับผิวจึงมีส่วนช่วยในการดูแลปัญหาแรกเริ่มของริ้วรอยแห่งวัย จึงกลายเป็นที่มาของสกินแคร์ในไลน์ ของ N°1 DE CHANEL ที่มุ่งเน้นให้การดูแลเรื่องความอ่อนเยาว์กับการเลือกใช้สารสกัดหลักๆจากดอกคามิลเลีย น้ำมันของดอกคามิลเลีย และเซราไมด์ในดอกคามิลเลียที่มีช่วยเสริมในการเสริมปราการความแข็งแรงของผิว เพิ่มความยืนหยุ่น และฟื้นคืนความสดชื่นให้ผิวที่เหนื่อยล้าของผิวในช่วงวัยที่เริ่มเข้าสู่การร่วงโรย โดยชิ้นเด่นในไลน์นี้คงต้องยกให้กับ N°1 De Chanel Revitalizing Serum เซรั่มบำรุงผิวเข้มข้นแต่เนื้อบางเบาที่มาพร้อมจุดเด่นที่ช่วยปลุกคืนความสดชื่นให้กับผิวที่ร่วงโรยได้ถึง 5 ประการ และ N°1 De Chanel Rich Revitalizing Cream ครีมบำรุงผิวเนื้อครีมมี่เข้มข้นที่ช่วยเติมความชุ่มชื่นให้ผิวอย่างล้ำลึกเพื่อรับมือกับความร่วงโรยของผิว