Saturday, March 15, 2025

เจาะลึก 5 เรื่องราว COCO CRUSH จาก CHANEL เครื่องประดับที่สะท้อนความหรูหราและไม่เหมือนใคร

ในโอกาสครบรอบ 10 ปีของคอลเล็กชั่น Coco Crush ของ CHANEL ชวนคุณทำความรู้จักกับเครื่องประดับที่ไม่เพียงสะท้อนถึงสไตล์ที่หรูหราและทันสมัย แต่ยังเต็มไปด้วยความหมายและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่ลายควิลต์สุดไอคอนนิกไปจนถึงเฉดสีของทองอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้คอลเล็กชั่นนี้ได้กลายเป็นเครื่องประดับที่แสดงถึงความมั่นใจและความเป็นอิสระในแบบฉบับของผู้หญิงทุกยุคสมัย

COCO CRUSH Turning 10 จากสไตล์ของ Gabrielle Chanel

เรียกว่าในปี 2025 นี้ เป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 อย่างเต็มตัวสำหรับคอลเล็กชั่น COCO CRUSH หนึ่งในไอคอนของ CHANEL ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเครื่องประดับที่ผู้หญิงทั่วโลกต่างหลงรัก เชื่อว่าด้วยดีไซน์ที่มีความทันสมัยและเรียบหรู สามารถสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้หญิงที่มีความอิสระและมั่นใจจึงทำให้เครื่องประดับคอลเล็กชั่นนี้มีเสน่ห์แบบเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งหากย้อนกลับไปในปี 2015 เมื่อคอลเล็กชั่น COCO CRUSH เปิดตัวครั้งแรก สิ่งที่ทำให้เครื่องประดับคอลเล็กชั่นโดดเด่นจนที่น่าจดใจคือการเลือกใช้ลายควิลต์ หนึ่งสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่มาตั้งแต่ปี 1955 ผนวกกับอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทำให้ COCO CRUSH พิเศษกว่าใครคือการเลือกใช้สีเบจโกลด์ ทอง 18K อันมีเอกลักษณ์ที่หากมองใกล้ๆจะให้เฉดสีที่ไม่ซ้ำใครเป็นทองละมุนที่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าเป็นเฉดที่มีความ harmony ทำให้สวมใส่ได้กับทุกสีผิว ซึ่งแน่นนอนว่าทางแบรนด์ได้สร้างสรรค์สีนี้ขึ้นมาเฉพาะเพื่อเป็นการยกย่องความรักที่กาเบรียล ชาเนลมีต่อสีอันอบอุ่นนี้ เพราะสีเบจโกลด์ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จแรกๆ เช่น ชุดสูทผ้าทวีดและรองเท้าทูโทน แต่ยังเป็นการผสมผสานที่ลงตัวของความงามและความแข็งแกร่งในตัวมันเอง

‘Quilting’ The Timeless Chanel Motif แรงบันดาลใจจากลายควิลต์ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีวันตกยุค

หากพูดถึง Chanel หนึ่งในลายที่เป็นเอกลักษณ์คงหนีไม่พ้น ลายควิลต์ ลวดลายตารางไขว้ที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความหรูหราและมีมิติ แต่คุณรู้ไหมว่าจุดเริ่มต้นของมันไม่ได้มาจากโลกแฟชั่น หากแต่มาจากคอกม้าเรื่องราวนี้เริ่มขึ้นเมื่อ Gabrielle Chanel ได้ใช้ชีวิตอยู่กับ Etienne Balsan เธอสังเกตเห็นลายควิลต์บน ผ้าห่มสำหรับม้า และ เสื้อแจ็คเก็ตของคนงานคอกม้า ความจากจุดนี้เองทำให้ลายควิลต์ถูกหยิบมาใช้อยู่บ่อยครั้งในงานออกแบบของตัวเอง ตั้งแต่การตกแต่งอพาร์ตเมนต์ในปารีส ไปจนถึงชิ้นงานแฟชั่น อย่างกระเป๋า 2.55 ที่ถูกเปิดตัวขึ้นด้วยการที่ใช้เทคนิคเย็บควิลต์เพื่อเพิ่มโครงสร้างและความสง่างาม เชื่อว่าตั้งแต่นั้นมา ลายควิลต์ ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ Chanel ที่ยังคงปรากฏอยู่ในทุกยุคสมัยตั้งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า ไปจนถึงรองเท้าและเครื่องประดับ มันไม่ใช่แค่ลาย แต่เป็นเรื่องราวของสไตล์ที่คลาสสิกและเหนือกาลเวลา

The Shining Crush เทคนิกล้ำสมัยที่ทำให้ลวดลายควิลต์ของ COCO CRUSH เปล่งประกายยิ่งขึ้น

เมื่อ COCO CRUSH ได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในคอลเล็กชั่นไฟน์จิวเวลรี่ที่สะท้อนตัวตนของชาเนลได้อย่างลึกซึ้ง และตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการพัฒนาและเติมเต็มคอลเล็กชั่นด้วยการออกแบบใหม่ๆ ที่ทั้งทันสมัยและเหนือกาลเวลาในปี 2025 คอลเล็กชั่นนี้มาพร้อมกับหนึ่งในไฮไลต์คือเทคนิค Pavé Setting แบบใหม่ ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการตกแต่งเส้นทแยงมุมของลวดลายควิลต์ เพชรถูกจัดเรียงให้เปล่งประกายอย่างมีมิติ สร้างภาพลวงตาของการกระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติบนตัวเรือนทองคำ แต่แท้จริงแล้วได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันโดยช่างอัญมณีฝีมือชั้นครู 

Ruby Revival ครั้งแรกที่นำอัญมณีสีมาใช้ 

อีกหนึ่งความน่าตื่นเต้นของปีนี้คือการนำทับทิมมาใช้ในคอลเล็กชั่นเครื่องประดับของชาเนลเป็นครั้งแรก สีแดงสดใสของทับทิมถูกนำมาประดับบนเครื่องประดับหลากหลายชิ้น เช่น สร้อยคอและแหวน การผสมผสานระหว่างลายควิลต์และสีแดงของทับทิมเพิ่มความหรูหรา และยังสื่อถึงความกล้าหาญและความหลงใหลในสไตล์ของชาเนล โดยทับทิมสีเข้มถูกนำมาใช้คู่กับทองคำและลายเส้นที่ตัดกันอย่างโดดเด่น ประดับอยู่ในช่องรูปตัว C หรือกลางตัว O บนสร้อยข้อมือที่สะกดเป็นคำว่า C.O.C.O. การผสมผสานนี้เป็นการเชิญชวนให้ผู้สวมใส่ได้เล่นกับสีสันที่ไม่ได้สะท้อนถึงลักษณะเฉพาะของ COCO CRUSH แต่ยังถ่ายทอดความมุ่งมั่นของชาเนล ผ่านการนำเสนอความหรูหราที่สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการสวมใส่ได้ตามใจชอบ

The Art of Layering Jewelry นำสไตล์การใส่จิวเวลรี่แบบ Stacking

เพราะ Coco Crush ไม่ใช่เพียงเครื่องประดับ แต่เป็นตัวแทนในการแสดงออกถึงตัวตนผ่านศิลปะการเลเยอร์จิวเวลรี่ ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถสนุกกับการมิกซ์แอนด์แมตช์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยดีไซน์ที่เรียบโก้แต่แฝงด้วยความโมเดิร์น แหวน กำไล และจิวเวลรี่แต่ละชิ้นสามารถนำมาสวมใส่ซ้อนกันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการใส่แหวนหลายวงในนิ้วเดียว หรือการจัดเรียงกำไลหลากหลายแบบที่สนุกได้ตามใจ ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่บอกเล่าเสน่ห์ของการ stacking คงหนีไม่พ้นภาพจากแคมเปญของแบรนด์ในทุกๆปีที่เราจะได้เห็นเจนนี่เฮาส์แอมบาสเดอร์ของ CHANEL ในลุคที่สนุกกับการเลเยอร์เครื่องประดับ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นการตอกย้ำว่าศิลปะของการ Stacking ไม่ใช่เพียงเทคนิคการใส่จิวเวลรี่ แต่เป็นวิธีการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองผ่านการเลือกและจัดวางแต่ละชิ้นได้อย่างอิสระ เป็นความสนุกที่ไม่มีข้อจำกัด และเป็นเครื่องประดับที่เติบโตไปพร้อมกับสไตล์ของผู้สวมใส่

Latest Posts

Don't Miss