Monday, April 28, 2025

เปิดที่มาวรรคทอง ‘มีเอมี่ก็ต้องมีบอนนี่’ เรื่องราวของ ‘เอมี่-บอนนี่’ สองขั้วที่เคมีคลิกกันขั้นสุดจากซีรี่ส์ Us รักของเรา

ขั้วหนึ่งคือ เอมี่-ทสร กลิ่นเนียม ที่เจ้าตัวยังตกใจที่ทำงานในวงการบันเทิงมา 10 ปีเต็ม และเป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ทั้งทำงานโฆษณา ซีรี่ส์ (เด็กใหม่ซีซั่น 2) ภาพยนตร์ (หุ่นพยนต์) ละครเวที (Closer) ส่วน บอนนี่-ภัทราภัสร์ โบรัชตะสุวรรณ์ มนุษย์อินโทรเวิร์ตรักสงบขั้นสุดที่เพิ่งฝากงานแสดงเรื่องแรก ‘High School Frenemies’ ไปหมาดๆ ก็จับมือเอมี่รับบทนำคู่กันครั้งแรกใน ‘Us รักของเรา’ เรื่องราวความรักที่ถูกคนแต่เกิดขึ้นผิดที่ผิดเวลา แถมมีปมหักมุมให้คนดูผิดคาดได้ทุกอีพี จนเกิดหมู่มวลชวนลุ้นคู่จิ้นใหม่ไปทั่วโซเชียล

“เห็นนะ แฮชแท็ก #เอมี่บอนนี่” บอนนี่บอก ซึ่งเมื่ออ่านบทสัมภาษณ์นี้จบลง หลายคนอาจได้คำตอบของคำถามเอมี่ที่ว่า “จินตนาการไม่ออกเลยว่าคนจะมาชอบเราเพราะอะไร”

ELLE: คิดว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นที่นำมาสู่การได้เป็นเอมี่บอนนี่ในวันนี้

EMI: เอมี่ทำงานในวงการมาเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่เป็นเอ็กซ์ตร้าหาเงินเป็นค่าขนมได้งานละ 300-500 บาท เราก็ทำได้ ไม่เคยรู้สึกว่ารอนานหรือได้เงินน้อย ช่วง 2 ปีแรกที่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วต้องไปเรียนที่วิทยาเขตเพชรบุรี เวลามีงานก็นั่งรถตู้เข้ากรุงเทพฯ แต่ไม่เคยเหนื่อย เลยมาคิดว่าลึกๆ แล้วเราคงชอบงานสายนี้แหละ ใจมันรัก

เอมี่คิดว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ถ้าเราทิ้งโอกาสครั้งไหนไป เราคงไม่ได้มาถึงจุดนี้แน่ๆ ทุกวันนี้ยังเจอพี่โมเดลลิ่งที่ให้งานที่เราได้มีบทพูดครั้งแรกได้อยู่เลย เอมี่ไม่ได้มุ่งมั่นว่าฉันจะเป็นนักแสดงหรือจะเป็นอะไร และไม่ใช่คนคิดคำนวณว่างานนี้ฉันจะได้หรือจะเสียอะไร เรารับทุกโอกาสและโอกาสเหล่านั้นทำให้ผู้จัดซึ่งซื้อลิขสิทธิ์นิยาย Us รักของเรา มานานแล้วได้มาเห็นเรา และบอกว่าคนแรกที่แวบขึ้นมาหัวที่จะเล่นบท ‘แพม’ คือเอมี่

BONNIE: ก่อนหน้านี้บอนนี่เคยถ่ายแบบมาบ้าง จนช่วงโควิดเริ่มคลาย รู้สึกว่างเกินไป ก็พอดีมีคนดีเอ็มชวนให้แคสต์เป็นนักแสดง ซึ่งไม่เคยมีความคิดในหัวเลยว่าจะทำอาชีพนี้ ปกติบอนนี่ต้องรอพร้อมก่อนแล้วค่อยทำ เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวงานออกมาไม่ดี แต่แปลกที่ครั้งนี้นั่งคิดกับตัวเองว่ารอพร้อมแล้วเมื่อไรจะได้ทำ หรือถ้าเสียเวลา เรายังมีเวลาในชีวิตให้ได้ทำอย่างอื่นอีก

สุดท้ายได้เข้ามาทำงานงานแสดงเรื่องแรกในซีรี่ส์ ‘High School Frenemy มิตรภาพคราบศัตรู’ ที่เพิ่งออนไปเมื่อปีที่แล้วนี้เอง บอนนี่ภูมิใจกับผลงานเรื่องแรกนี้มาก แม้จะเป็นการรับน้องที่โหดสุดๆ เพราะตัวละครเรามีปมหนักมากๆ เรากลัวจะเป็นตัวถ่วงให้คนอื่นเสียเวลา นักแสดงคนอื่นมีประสบการณ์แสดงกันมาหลายเรื่องแล้ว มีบอนนี่เป็นเด็กใหม่คนเดียว แล้วดันเป็นบทที่ดำมืดที่สุดในเรื่อง มีช่วงที่พักกอง 1 เดือน บอนนี่พยายามจูนความคิดตัวเองใหม่ เริ่มแยกได้ว่านี่คือบอนนี่ นี่คือตัวละครนะ และปรับมายด์เซตตัวเองไม่ให้คิดเยอะงานแสดงก็เริ่มดีขึ้น ใจเราเริ่มสนุกกับอาชีพนี้

ELLE: แม้เอมี่จะมีประสบการณ์แสดงมาหลายเรื่อง แต่ทำไมบอกว่าต้องนับหนึ่งใหม่เหมือนบอนนี่กับซีรี่ส์ Us

EMI: เอมี่กดดันกับการได้เล่นเป็นตัวเมนครั้งแรกและเล่นแนวรักครั้งแรก แต่ใจหนึ่งก็ดีใจที่ผู้กำกับกำกับเราละเอียดมากๆ เพราะตัวละครนี้ละเอียดอ่อน ตาเปลี่ยนแวบหนึ่งคนดูก็รู้สึกได้ ฉะนั้นผู้กำกับจะไม่ปล่อยผ่านเลย ดีแล้วที่เราต้องคิดให้มากกับการแสดงครั้งนี้ เอมี่เลยคาดหวังกับการแสดงของตัวเองมาก ส่วนเรื่องฟีดแบ็กไม่ได้คาดหวังมากนัก มีปัจจัยหลายอย่างมากเกินไปที่เราควบคุมไม่ได้

BONNIE: ตอนไปแคสต์ไม่กล้าคาดหวัง เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างที่บอก พอได้เป็นตัวเมนก็เลยช็อกมาก แต่คิดว่างานแสดงเรื่องนี้ง่ายขึ้นกว่าตอนเล่นเรื่องแรก เพราะก่อนเปิดกล้องทีมงานจะถามว่าเราชอบอะไร มีงานอดิเรกอะไรบ้าง เป็นคนแบบไหน แล้วเอาใส่ไปในตัวละคร ‘ดอกรัก’ ด้วย แต่จะยากตรงที่ต้องแสดงทุกอารมณ์ให้ชัด ไม่ว่าจะดีใจ เศร้า เหงา ป่วย ร้องไห้ เมา ฯลฯ ทุกอย่างต้องชัดแต่อยู่ในมู้ดคนปกติ ไม่ใช่ดูเป็นละคร

สิ่งที่บอนนี่กดดันที่สุดไม่ใช่การเล่นบทดราม่าเลยนะ แต่เป็นการที่ต้องเล่นกีตาร์ร้องเพลงสดๆ ต่อหน้าคนทั้งกองถ่าย ผู้กำกับให้เล่นสด ร้องสด ห้ามมองมือ คอยสบตาคนอื่น เราต้องโฟกัสหลายอย่าง และเราไม่ได้เก่งกีตาร์ขนาดนั้น แถมต้องเล่นสองเพลงในวันนั้นเลย แต่บอนนี่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือเวลาเจอแรงกดดันมากๆ สติเราจะมาทันที (หัวเราะ) และผู้กำกับไม่ดุเลย เขารู้ว่าเราต้องแบกแรงกดดันหลายอย่าง มีแต่จะคอยบอกว่า ‘บอนนี่ทำได้’  

EMI: ต่างจากเอมี่ที่ผู้กำกับบอกให้กลับบ้าน (บอนนี่ตกใจ “จริงเหรอ!?”) วันนั้นเขารู้สึกว่าสภาพอารมณ์เราไม่ได้ ก็มานั่งคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น และเห็นว่าเราไม่ไหวก็ให้กลับบ้านไปก่อน ถ่ายคนอื่นต่อไป คือแพมเป็นตัวละครที่มีปูมหลังซับซ้อนมาก และเรารับเอาความเป็นแพมเข้ามาในตัวเราเยอะ บางวันขับรถกลับบ้านก็ร้องไห้ แต่ก่อนไม่เคยเข้าใจเวลานักแสดงบอกว่าเอาตัวละครออกไปไม่ได้ ตอนนี้เข้าใจแล้ว เราต้องรับมือกับสภาวะทางอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา เพราะในการถ่ายทำไม่ได้ถ่ายเรียงตามลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง วันหนึ่งๆ เราเลยต้องร้องไห้ แล้วเดี๋ยวก็ต้องสดใส คือชื่อซีรี่ส์ โปสเตอร์ ทีเซอร์ บอกเลยว่าทุกอย่างหลอกคนดูหมดค่ะ (หัวเราะ) เรื่องนี้คนดูไม่สามารถเดาทางได้เลย

BONNIE: ผู้กำกับมีวิธีกำกับนักแสดงแต่ละคนต่างกัน บอนนี่ไม่มั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว เขาคงคิดว่าถ้าดุ บอนนี่คงจะยิ่งไม่มั่นมากเข้าไปอีก ซึ่งวิธีนี้เวิร์ก เพราะคนอื่นกดดัน บอนนี่จะไม่ค่อยเครียด แต่ถ้าเราเริ่มกดดันตัวเองนี่ละจะทำตัวไม่ถูกไปเลย ผู้กำกับเลยจะคอยให้กำลังใจให้เราผ่อนคลายลง

ELLE: ตัวละครพาให้เราได้รู้จักกับสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีในตัวเองบ้างไหม

BONNIE: ความพลังงานสูงของดอกรักค่ะ นางสดใส เป็นดวงอาทิตย์ พร้อมเผชิญปัญหาทุกอย่าง เป็นคนมั่นใจในตัวเองขั้นสุด แต่ตัวบอนนี่ไม่มั่นใจ เอเนอร์จี้ต่ำ พูดน้อย แต่พอได้เล่นเป็นดอกรัก มีหลายคนบอกว่าทำไมบอนนี่เปลี่ยนไป เป็นเพราะดอกรักเลยค่ะที่ดึงพลังความสดใสในตัวเราออกมา

บอนนี่มองว่าดอกรักเป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่คอยสอนอะไรหลายๆ อย่าง รู้สึกขอบคุณดอกรักมากๆ ที่คอยดึงหลายๆ ด้านในตัวเองออกมา ทั้งที่ตอนแรกบอนนี่นึกไม่ออกว่าเราจะสดใสเป็นดอกรักได้อย่างไร รู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้เจอตัวละครที่ดีมากๆ แบบนี้ตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพนักแสดง คิดว่าพอเวลาผ่านไป บอนนี่ก็ยังจะคิดถึงดอกรักอยู่

EMI: แพมมีจุดที่ไม่เชื่อมโยงกับเราเลยคือเรื่องครอบครัว ขณะเดียวกันแพมมีจุดที่เราเพิ่งได้ค้นพบในตัวเองคือการได้รับความรัก ทั้งที่เราคิดมาตลอดว่าอยู่คนเดียวได้ ไม่ได้อยากมีแฟน แต่ทำไมเวลาเข้าซีนกับดอกรักแล้วเรารู้สึกขอบคุณกับความรักนี้จังเลย ดอกรักเป็นคนให้ความรักกับคนอื่นเยอะมาก อ้อนมาก ถ้าเจอคนแบบนี้ในชีวิตจริงก็คงเติมเต็มเราดีเนอะ

ELLE: ทำไมผู้กำกับพูดว่า ‘มีเอมี่ก็ต้องมีบอนนี่’

EMI: คือจะเป็นเราเสียส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยจำคอนทินิว เทคนี้กอดฝั่งขวา พอเปลี่ยนมุมกล้องดันลืมไปกอดฝั่งซ้าย เราแสดงไปตามความรู้สึก แต่บอนนี่เป็นสายดีเทลจัด จำคอนทินิวได้หมด ผู้กำกับเลยพูดว่า ‘มีเอมี่ก็ต้องมีบอนนี่’ ประกอบกับนิสัย ความชอบ และตัวตนเราสองคนต่างกันมากๆ อย่างเวลากินต้มยำ เอมี่จะกินเนื้อ บอนนี่จะกินแต่เห็ด ถ้ากินขนมปังแอโวคาโดแซลมอน บอนนี่กินแอโวคาโดกับแซลมอน เอมี่กินแต่ขนมปัง เราต่างกันจัดแต่อยู่ด้วยกันได้

จากตอนแรกที่คิดว่าบทแพมไกลตัวเกิ๊น เล่นไปเล่นมา เอ๊ะ! เป็นบทที่ใกล้ตัวเหมือนกันนะ มีซีนหนึ่งที่อิมโพรไวส์เอง เอมี่พูดว่า ‘ถ้าพี่ไม่มี(ดอก)รัก พี่จะอยู่ยังไง’ แต่ในหัวเอมี่คิดว่า ‘ถ้าเราไม่มีบอนนี่ เราจะอยู่ยังไง’ แล้วก็ร้องไห้ออกมา อีโมจัดมาก (หัวเราะ) หรือว่านี่คือความรู้สึกของเรานะ ปกติไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาด้วยมั้ง จะเป็นแนวเทคแคร์ตัวเองได้ สบายทุกอย่าง เหมือนความแกร่งคือกลไกปกป้องตัวเอง แต่เวลาอยู่กับบอนนี่ เราอ่อนแอได้ เปราะบางได้ แปลกมาก อาจจะเพราะเราไม่เคยเจอคนแบบบอนนี่มาก่อนด้วย

BONNIE: เวลาบอนนี่เห็นพี่เอมี่แล้วรู้สึกว่าอยากดูแล เขามีมุมที่เป็นแม่และพี่สาวที่พึ่งพาได้ แต่ก็มีมุมที่เป็นเด็กด้วย ลึกๆ แล้วเขาเซนซิทีฟมาก แต่เราจะเห็นพี่เอมี่กล้าพูดกล้าทำ แต่พอเจอสถานการณ์กดดันหรือเครียด เขาจะทำตัวไม่ถูก ไม่พูด ส่วนบอนนี่เวลาปกติจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่ถ้าเจอแรงกดดันมากๆ บอนนี่จะเข้มแข็ง คอยปกป้องหรือให้กำลังใจพี่เอมี่ได้ เราเป็นความแตกต่างที่มาเติมเต็มกัน และถ้าไม่ใช่พี่เอมี่ บอนนี่ก็มองไม่ออกเหมือนกันนะว่าจะเป็นดอกรักได้ไหม แต่พอเป็นพี่เอมี่แล้วรู้สึกสบายตัว สบายใจ ทำอะไรก็ได้ เพราะเขาจะไม่ตัดสินเราไม่ว่าเราจะทำอะไร

ELLE: ซีรี่ส์เพิ่งออนได้ไม่กี่อีพีก็มีงานแฟนไซน์คู่ด้วยกันแล้ว มีแฟนๆ มาให้กำลังใจเยอะมากด้วย จะมีผลงานใหม่ๆ ให้บ้านเอมี่บอนนี่ได้ติดตามกันอีกไหม

EMI: ภาพในหัวคิดว่าน่าจะมีคนมากระหย่อมหนึ่ง แต่พอออกมาเจอจริงๆ แล้วคนมาเยอะกว่าที่คิดมาก หน้าก็เลยเหวอจัด อ้าปากหวอตลอดเวลา (หัวเราะ) ปลายปีนี้จะมีซีรี่ส์เรื่อง ‘Mouse’ เป็นอีกเรื่องที่ภูมิใจและอยากให้ทุกคนได้ดูกัน ทีมงานเห็นผลงานตั้งแต่เล่นเรื่อง ‘เด็กใหม่’ แล้วพูดว่าสักวันหนึ่งจะเอาน้องคนนี้มาเล่น (สีหน้าภูมิใจ) ซึ่งเวอร์ชั่นไทย นางเอกมีบทบาทเยอะกว่าเวอร์ชั่นเกาหลี เพิ่มพาร์ตความรักนิดหน่อย ปีนี้เอมี่ปีนี้น่าจะมีผลงาน 3 เรื่องให้ได้ดูกัน บอกเลยว่าบทแต่ละเรื่องโซ มอม ไม่เคยเล่นบทที่บ้านมีห้องแอร์น่ะ (หัวเราะ)

BONNIE: พอปิดกล้อง Us แล้วอยากบอกตัวเองว่า ‘เก่งมากเลย บอนนี่’ รู้สึกมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้น…แต่ไม่เยอะนะ อาจจะเป็นเพราะตัวละครดอกรักทำให้เรามีแพสชั่นให้เราอยากทำงานแสดงต่อไป ซึ่งงานแสดงเรื่องที่สามก็เตรียมเปิดกล้องแล้ว เล่นเป็นน้องสาวภูวินทร์ในซีรี่ส์เรื่อง ‘มีสติหน่อยคุณธีร์’ บอนนี่อยากทำงานแสดงต่อไปจนกว่าจะไม่มีคนจ้าง จนอายุ 60 ก็เล่นเป็นยายได้นะคะ (หัวเราะ)

Latest Posts

Don't Miss