เป็นครั้งแรกและครั้งสำคัญที่แอลได้ร่วมออกเดินทางสู่การค้นพบมหาขุมทรัพย์ของเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงในคอลเล็กชั่นแห่งปี อย่าง ‘Treasure Island by Van Cleef & Arpels’ ที่เมซงแห่งนี้ได้พาเราออกสำรวจและผจญภัยไปกับหลากหลายเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันแสนรุ่มรวยของมรดกแห่งการรังสรรค์เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง และร่วมค้นพบกับบรรดาขุมทรัพย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและหลากหลายผลงานสร้างสรรค์อันวิจิตรประณีตของแบรนด์
Lost & Found Treasures


ในงานซึ่งจัดขึ้นในระดับภูมิภาคครั้งนี้ Van Cleef & Arpels ได้เลือกปักหมุดแห่งการออกตามหาขุมทรัพย์บนแผนที่ของเกาะภูเก็ต ประเทศไทย โดยได้เชิญทั้งเหล่าสื่อมวลชนจากทั่วภูมิภาค รวมถึงลูกค้าคนสำคัญให้ร่วมออกเดินทางมาสัมผัสและชื่นชมกับชิ้นงานอันวิจิตรสวยงามของคอลเล็กชั่นไฮจิวเวลรี่ Treasure Island นี้กันอย่างใกล้ชิด เริ่มต้นจากกิจกรรมแรกๆ ที่เมซงพาเราออกสำรวจนั้นคือการค้นพบกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และประเพณีการรังสรรค์เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงนับจากยุคอดีตกาล จวบจนเกิดวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องถึงในยุคปัจจุบัน เช่นเดียวกับเรื่องราวอันน่าสนใจของการเสาะหาและค้นหาขุมทรัพย์แห่งเครื่องประดับอัญมณีอันล้ำค่าของบรรดาโจรสลัด รวมถึงนักล่าขุมทรัพย์ที่กลายเป็นดั่งตำนานและเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์คอลเล็กชั่นอันทรงคุณค่านี้อีกด้วย



โดย Van Cleef & Arpels ได้จับมือร่วมกับพันธมิตร L’École School of Jewelry Arts และผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีของสถาบันที่มาร่วมให้ความรู้ในหัวข้อต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเครื่องประดับและอัญมณีหายากอันนับเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าสูงสุดในโลก เช่นเดียวกับยังได้เปิดตัวหนังสือ Treasure Island ซึ่งอุทิศแด่ผลงานประพันธ์ของ Robert Louis Stevenson พร้อมทั้งบอกเล่าถึงมุมมองและถ่ายทอดความรู้ด้านต่างๆ เกี่ยวกับขุมทรัพย์แห่งอัญมณีล้ำค่าของโลกกับเรื่องราวการผจญภัยของนวนินายต้นฉบับ อย่าง Treasure Island และภาพประกอบซึ่งวาดรังสรรค์โดย David B. ไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วย
Adventure at Phuket Island


และเมื่อทุกคนพร้อมแล้วที่จะออกผจญภัยล่าขุมทรัพย์ Van Cleef & Arpels ก็ได้พาเราก้าวเข้าสู่เกาะมหาสมบัติภายในโชว์รูมจัดแสดงคอลเล็กชั่นเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง Treasure Island ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวการผจญภัยของนวนิยาย Treasure Island ประพันธ์โดยโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1883 โดยหยิบเอาเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นและน่าหลงใหลของงานประพันธ์นี้มาตีความโดยฝีมือของเหล่านักออกแบบ ช่างฝีมือและผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีของเมซง และรังสรรค์ขึ้นใหม่ผ่านชิ้นงานเครื่องประดับอัญมณีที่บอกเล่าถึงการเดินทางผจญภัยล่าขุมทรัพย์บนเกาะอันลึกลับและน่าอัศจรรย์ ในคอลเล็กชั่นนี้ประกอบด้วยชิ้นงานจากทั้ง 3 บท เริ่มต้นจาก Chapter I: The Adventure at Sea กับการกางใบเรือออกทะเลสู่ดินแดนอันไกลโพ้นสุดขอบฟ้า ตามมาด้วย Chapter II: Exploring the Island บอกเล่าถึงการสำรวจเกาะขุมทรัพย์ และ Chapter III: The Treasure Hunt กับการเสาะหาขุมทรัพย์อย่างแท้จริง โดยทั้ง 3 บทนี้ต่างก็มีชิ้นงานอันโดดเด่นแตกต่างกันและทั้งหมดล้วนบอกเล่าถึงเรื่องราวอันน่าสนใจของแต่ละบทได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ขณะที่อีกส่วนหนึ่งของโชว์รูมยกพื้นที่ให้กับการจัดแสดงผลงานจาก Heritage Collection ที่เป็นดั่งต้นกำเนิดและที่มาของแรงบันดาลใจในการรังสรรค์คอลเล็กชั่น Treasure Island ทั้งยังสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และมรดกความเชี่ยวชาญของเมซงที่เชื่อมโยงมาอย่างยาวนานกับการสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีหายากและทรงคุณค่าในด้านงานฝีมืออันหาที่เปรียบได้ยาก
Our Beloved Treasures

สำหรับเราแล้ว ในแต่ละบทล้วนมีเสน่ห์และความน่าหลงใหลของผลงานแต่ละชิ้นผสมผสานกับแต่ละเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการรังสรรค์ผลงานเหล่านี้ที่ต่างก็น่าเอ่ยถึง แต่ขอเลือกมาเป็นชิ้นเด่นๆ จากแต่ละบทไว้เป็นตัวอย่าง และหากมีโอกาสก็อยากให้ได้ลองไปชมและสัมผัสด้วยตาคุณเองสักครั้ง แล้วจะสัมผัสได้ถึงความประณีตละเอียดอ่อน สุนทรียะความสวยงามและความหายากที่ไม่อาจพรรณนาได้หมด





อย่างในบทที่ 1 The Adventure at Sea เราตกหลุมรักกับผลงานเข็มกลัดโจรสลัด 3 ชิ้น Trio of Pirates ที่แต่ละชิ้นต่างก็มีชื่อของตนเองสะท้อนถึงชื่อตัวละครในงานประพันธ์ของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน ทั้ง Pirate John, Pirate David และ Pirate Jim โดยเฉพาะเข็มกลัด Pirate John ที่ถ่ายทอดถึงเรื่องราวของการผจญภัยและการออกล่าขุมทรัพย์ของเหล่าโจรสลัดในยุคอดีตที่สัมผัสได้ ทุกชิ้นงานยังรังสรรค์ขึ้นอย่างมีมิติ พร้อมทั้งการตกแต่งอันล้ำค่าทั้งการใช้ไวต์โกลด์ เยลโลว์โกลด์และโรสโกลด์ ประดับตกแต่งด้วยเพชรและอัญมณีสีอย่างงดงามราวกับมีชีวิตชีวาและทรงเสน่ห์จากทุกๆ มุมมอง นอกจากนี้ ยังมีชิ้นงานใหม่ของบทแรกที่นำมาอวดโฉมที่ภูเก็ต ทั้งแหวนไวต์โกลด์และเยลโลว์โกลด์ Orin de diamant ประดับเพชรทรงลูกแพร์และเพชร แหวนไวต์โกลด์และโรสโกลด์ Balancine de Saphir ประดับด้วยแซปไฟร์ทรงรีและเพชร และแหวนไวต์โกลด์และเยลโลว์โกลด์ Cordage Précieux Émeraude ประดับมรกตเอเมอรัลด์คัตและเพชรอันงดงามและหายาก



ออกเดินทางต่อสู่บทที่ 2 Exploring the Island ที่เราหลงใหลเป็นพิเศษกับชิ้นงานเด่นๆ อย่าง สร้อยข้อมือไวต์โกลด์ โรสโกลด์และเยลโลว์โกลด์ Coquillage Mystérieux ตกแต่งโดยการร้อยโมทีฟรูปหอยที่ประดับด้วยแซปไฟร์สีน้ำเงินทรงบัฟฟ์ท็อปกับเทคนิค Traditional Mystery Set พร้อมด้วยแซปไฟร์และเพชรไว้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ และอีกชิ้นคือผลงานรูปเปลือกหอยอันเย้ายวนใจของเข็มกลัดไวต์โกลด์ เยลโลว์โกลด์และโรสโกลด์ Coquillage Mystérieux ประดับทับทิมบัฟฟ์ท็อปด้วยเทคนิค Traditional Mystery Set พร้อมทั้งทับทิม มรกต ไข่มุกเลี้ยงสีขาว เพชรสีชมพูและเพชรสีขาว ที่บนด้านหลังของเข็มกลัดนี้ยังซ่อนไว้ด้วยรูปเทพธิดาน้อยผู้พิทักษ์อัญมณีล้ำค่าเม็ดสำคัญ ทั้งมรกตและไข่มุก ขณะที่สร้อยคอไวต์โกลด์และโรสโกลด์สไตล์โรโกโก Récif corallien ก็มีความอ่อนช้อยชวนให้ค้นหา โดยได้แรงบันดาลใจมาจากความสวยงามตามธรรมชาติของปะการังนำมารังสรรค์ผ่านการประดับเรียงร้อยไว้ด้วยทับทิมทรงรี เพชรทรงกลม พร้อมทั้งทับทิมและเพชร



ส่งท้ายด้วยบทที่ 3 The Treasure Hunt กับเรื่องราวการล่าขุมทรัพย์ที่เข้มข้นขึ้นโดยถ่ายทอดผ่านชิ้นงานสุดโดดเด่นที่เรายกให้กับผลงานในใจอีกหลายชิ้นในการจัดแสดงครั้งนี้ อย่าง แหวนไวต์โกลด์และเยลโลว์โกลด์ Joyau de Dona Ana ประดับด้วยมรกตและเพชรที่ชูความล้ำค่าของอัญมณีได้อย่างเจิดจรัส เช่นเดียวกับเสน่ห์ของแหวนแห่งขุมทรัพย์อัญมณีที่เต็มไปด้วยสีสัน อย่าง แหวนเยลโลว์โกลด์ Trésor graphique ตกแต่งด้วยเทคนิคการตอกทองทำให้เกิดลวดลายแบบนูนต่ำและประดับด้วยแซปไฟร์สีน้ำเงินและสีม่วง ทับทิม มรกต และเพชรทรงสี่เหลี่ยม รวมถึงตุ้มหูเยลโลว์โกลด์และไวต์โกลด์ Sayyida พร้อมจี้ที่สามารถถอดออกได้ประดับด้วยมรกตเอเมอรัลด์คัต 2 เม็ด ไข่มุกธรรมชาติ 2 เม็ด และเพชร ที่ร่วมสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญของเมซงในการรังสรรค์เครื่องประดับอัญมณีที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบการสวมใส่ได้อย่างหลากหลาย
First Time in Phuket

การปักหมุดจัดแสดงขุมทรัพย์แห่งไฮจิวเวลรี่อันล้ำค่า ณ เกาะภูเก็ต ครั้งนี้จึงย่อมมีความหมายพิเศษ เหมือนกับที่ Julie Clody Medina ประธานแห่ง Van Cleef & Arpels ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้เผยถึงเหตุผลของการเลือกภูเก็ตและประเทศไทยเป็นเกาะขุมทรัพย์แห่งต่อมา หลังจากที่คอลเล็กชั่นนี้ได้เปิดตัวระดับโลกมาแล้วที่ไมอามี สหรัฐอเมริกา ว่า “อย่างที่ทราบดีว่า Treasure Island เป็นคอลเล็กชั่นไฮจิวเวลรี่ได้แรงบันดาลใจมาจากบทประพันธ์นวนิยายด้วยชื่อเดียวกันโดย โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน ซึ่งเป็นงานประพันธ์อันคลาสสิกของปี 1883 และเราได้ตีความมาสู่ผลงานแห่งการเดินทางทั้ง 3 บท ได้แก่ Adventure at the Sea, Exploring the Island และ The Treasure Hunt ที่แต่ละบทต่างก็มีองค์ประกอบของการบอกเล่าถึงการเดินทางเพื่อค้นพบและความล้ำค่าของบรรดาขุมทรัพย์แห่งอัญมณี ดังนั้น เราจึงได้มองหาโอกาสและเลือกที่จะมาจัดแสดงผลงานภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นที่ภูเก็ต เพราะเมื่อนึกถึงภาพของเกาะและทะเล เกี่ยวกับขุมทรัพย์ มรดกและประเพณีอันรุ่มรวย และความเป็นธรรมชาติแล้ว ภูมิภาคนี้ก็นับได้ว่าเป็นศูนย์กลางสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย”


“และหากจำกันได้ เมื่อปี 2018 เราได้จัดงานเปิดตัวไฮจิวเวลรี่คอลเล็กชั่นสำคัญ อย่าง Treasure of Ruby ขึ้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทยมาแล้ว ดังนั้น จึงเป็นความสัมพันธ์อันเข้มแข็งและแน่นแฟ้นระหว่างเมซงและประเทศไทย และเมื่อเราได้ค้นพบกับสถานที่ที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการจัดงาน อย่าง Trisara ในภูเก็ตซึ่งรายล้อมไปด้วยบรรยากาศของธรรมชาติ ท้องทะเลและเกาะ ก็ยิ่งเติมเต็มให้การจัดงานครั้งนี้มีความสมบูรณ์แบบ จึงเป็นที่มาของแนวคิดในการจัดงานซึ่งได้รับความร่วมมือจากทีมที่เกี่ยวข้องทั้งจากสำนักงานใหญ่และในภูมิภาคทั้งหมดในการร่วมกันสร้างสรรค์งานครั้งนี้ด้วย การจัดงานครั้งนี้จึงเปรียบเหมือนกับการที่เราได้ค้นพบกับอัญมณี และคงไม่มีที่ใดจะเหมาะสมไปกว่าการประดับตกแต่งอัญมณีน้ำงามนั้นไว้ในสถานที่ที่ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบเช่นนี้”



“สำหรับในคอลเล็กชั่นนี้ นอกเหนือจากแรงบันดาลใจจากนวนิยายแล้ว ยังเป็นการนำพาเราให้ได้ย้อนกลับไปยังผลงานสร้างสรรค์แห่งความทรงจำที่เป็นมรดกอันล้ำค่าของเมซงด้วย และเหมือนกับชีวิตคนเราที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็ต่างเคยหรือยังคงสะสม Treasure box ซึ่งนับเป็นขุมทรัพย์ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ มาด้วยกันทั้งนั้น ขุมทรัพย์เหล่านี้ล้วนมีความหมายสำหรับเจ้าของและยังเป็นตัวแทนของความสวยงาม ล้ำค่า และมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับเราเสมอ เหมือนกับการบอกเล่าราวกับบทกวีของเมซงที่มีเรื่อยมา ทั้งยังบ่มเพาะไว้ด้วยศิลปะและวัฒนธรรมของแต่ละช่วงเวลา รวมถึงการสะสมไว้ด้วยจินตนาการที่สามารถสื่อสารและสืบทอดต่อกันมาได้ผ่านเจเนอเรชั่นต่างๆ โดยอาศัยการถ่ายทอดด้วยรูปแบบอันสวยงามและด้วยเรื่องราวอันร่วมสมัย”


“นอกจากนี้ ใน Treasure Island ยังเป็นการเชื่อมโยงกับอดีตและปัจจุบัน ผ่านการผสมผสานทางเทคนิคและศิลปะงานฝีมือเฉพาะ เช่น Mystery Setting ที่ในคอลเล็กชั่นนี้มีหลากหลายชิ้นงานซึ่งใช้เทคนิคนี้ ซึ่งยังคงเป็นเทคนิคที่วิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องคู่กับผลงานสร้างสรรค์ของเมซงนับตั้งแต่ปี 1933 จากเทคนิคแรกเริ่ม อย่าง Flat surface และพัฒนาเรื่อยมา โดยการนำมาประยุกต์ใช้กับอัญมณีที่มีคุณลักษณะเฉพาะต่างๆ อย่าง ทับทิมที่มีความเปราะบางหรือมรกต สำหรับ Mystery Setting รวมถึงเทคนิคอื่นๆ เช่น Triangular openings เพื่อเพิ่มความโปร่งและปล่อยให้แสงสามารถส่องผ่านใต้อัญมณีได้ เทคนิค Gold nails ของงานช่างทอง และเทคนิค Transformability ในการถอดออกได้ของชิ้นส่วนเครื่องประดับเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการสวมใส่ได้อย่างหลากหลาย เช่นการเปลี่ยนรูปจากตุ้มหูไปเป็นเข็มกลัด หรือจากจี้ไปเป็นตุ้มหู ก็ล้วนนับเป็นองค์ประกอบที่บอกเล่าถึงความเป็น Van Cleef & Arpels และเรื่องราวของชิ้นงานจิวเวลรี่แต่ละชิ้นเองได้อย่างดี สำหรับ Treasure Island ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีได้เริ่มเสาะหาอัญมณีและเก็บรวบรวมไว้นับตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อน จึงสามารถรังสรรค์เป็นคอลเล็กชั่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์ และทั้งหมดคือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของคอลเล็กชั่นนี้”

“ด้วยเรื่องราวและแรงบันดาลใจของคอลเล็กชั่นนี้จึงได้สร้างความแตกต่างออกไปจากไฮจิวเวลรี่คอลเล็กชั่นอื่นๆ ของเมซง เพราะครั้งนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะการพยายามถ่ายทอดถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ต่างกันไปในแต่ละครั้งด้วย อย่างการสร้างความอัศจรรย์ ความรู้สึกน่าทึ่ง หรือความน่าหลงใหลและประทับใจ ขณะเดียวกันเรายังคงสร้างสรรค์ความมหัศจรรย์ ความคิดเชิงบวกและความงดงามดั่งบทกวี ซึ่งในคอลเล็กชั่นนี้จะมีความต่างที่ชัดเจนของอารมณ์และความรู้สึกที่สนุกสนาน มีเรื่องราวอันเป็นสีสัน ทำให้เป็นคอลเล็กชั่นที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์สนุกๆ อันละเอียดอ่อน อย่าง เข็มกลัดโจรสลัดที่มีใบหน้าของตัวละครที่ทั้งดูขึงขังหรือขี้เล่น หรือใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคาแรกเตอร์ในบางชิ้นงาน จึงถือเป็นอีกหนึ่ง ‘Playful Collection’ ที่แตกต่างออกไปจากคอลเล็กชั่นอื่นๆ เหมือนกับที่อดีตประธานและซีอีโอ Nicolas Bos และ Catherine Rénier ประธานและซีอีโอปัจจุบันของเราได้พูดถึงไว้”


ELLE Says: “ส่วนตัวแล้วหลงรักกับจิวเวลรี่ชิ้นเล็ก แต่เต็มไปด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ทั้งยังสื่อถึงเรื่องราวของคอลเล็กชั่นนี้ได้เป็นอย่างดี อย่าง เข็มกลัดโจรสลัดทั้ง 3 ชิ้น หรือเข็มกลัดรูปต้นปาล์มที่สามารถถอดบางชิ้นส่วนเพื่อสวมสลับกับชิ้นงานอื่นๆ หรือสวมใส่แบบแยกกันได้ ไปจนถึงบรรดาเครื่องประดับรูปสัตว์ประจำเกาะและท้องทะเล อย่าง เข็มกลัดรูปเรือใบประดับเพชร เข็มกลัดผีเสื้อประดับเพชรและทับทิม เข็มกลัดเต่าประดับเพชรและแซปไฟร์ และสร้อยข้อมือรูปเปลือกหอยประดับเพชรและทับทิมหรือแซปไฟร์ที่ต่างก็รังสรรค์ขึ้นอย่างมีมิติ ด้วยความประณีตของงานฝีมือและถ่ายทอดความสวยงามจากการจัดเรียงอัญมณีหลากสีไว้รวมกันได้อย่างกลมกลืน และเมื่อได้รู้ถึงขั้นตอนการรังสรรค์ที่ซับซ้อนละเอียดอ่อน บวกกับการผสมผสานไว้ด้วยเทคนิคการประดับตกแต่งเฉพาะของเมซงด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้หลงใหลไปกับเรื่องราวของแต่ละชิ้นงานเหล่านี้มากขึ้นอีกด้วย”