ท่ามกลางศิลปินไทยมากหน้าหลายตาที่ทยอยปล่อยเพลงกันไม่หยุดหย่อน หนึ่งสาวที่โดดเด่นขึ้นด้วยสไตล์อาร์แอนด์บีสุดยูนีกที่น่าจะถูกใจผู้คนที่กำลังมองหาสีสันที่ต่างออกไปก็คือ ซิลวี่ ภาวิดา กับความขึ้นชื่อเรื่องความแซ่บกับดนตรีในจังหวะสนุกๆ แต่ในครั้งนี้เธอกลับมากับเพลงช้าในชื่อ ‘Pretty Girl’ (ใกล้เธอ) ที่จะมาบอกเล่าถึงความรักครั้งแรกของตัวเองที่มีต่ออีกฝ่ายซึ่งเป็นเพศเดียวกัน แอลจึงชวนศิลปินสาวมาตอบคำถามถึงเบื้องลึกเบื้องหลังการทำเพลงนี้ พร้อมการแชร์ประสบการณ์ที่ทั้งท้าทายและมีเรื่องเซอร์ไพรส์ สำหรับการกลับมาทำเพลงไทยเพื่อแฟนๆ ในคราวนี้กัน
![](https://ellethailand.com/wp-content/uploads/2023/12/silvy-02.jpg)
ELLE: เล่าความเป็นมาของเพลงนี้ให้ฟังหน่อย ทำไมถึงเลือกเป็นเพลงช้า
Silvy: ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเป็นเพลงช้าหรือไม่ช้า เพียงแต่ว่าเราเคยเอาเพลงนี้ไปร้องตั้งแต่ Very Music Festival ตอนที่มันยังเป็นเดโม่แล้วคนแท็กมาเยอะ คนให้ความสำคัญ ก็เลยไปเสนอค่ายว่าไหนๆ ก็เราจะได้ร่วมงานกันทำเพลงไทยแล้ว คิดว่ามี potential ไหม เขาก็รู้สึกว่ามี เลยเป็นเพลงนี้
ELLE: การกลับมาทำเพลงไทยมันยากไหม
Silvy: เราว่ายากในการแต่ง เพราะว่าอย่าง Be your own kind of beautiful ภาษาอังกฤษมันก็เท่ แต่พอเป็นไทยปุ๊บ เราทุกคนสวยงาม มันก็ยาก แล้วคือแค่เป็นคำก็ยาก พอไปใส่โน้ตอีก อย่างคำว่าสวย ถ้าต้องเอื้อน สวยจะกลายเป็นซวยอีกถ้าจะให้ตรงโน้ต แต่ก็กำลังคลำๆ อยู่ แล้วก็เริ่มแต่งได้อีกหลายเพลงมากๆ ที่เรารู้สึกว่ามาว่ะ เอาว่ะ ชอบ
ELLE: จากที่ซิลวี่บอกว่าเราไม่ค่อยได้ฟังเพลงไทย อยากรู้ว่าเรา work หนักแค่ไหนกว่าจะออกมาเป็นเพลงนี้
Silvy: เราศึกษาจากชาร์ต Thailand Top Hits เลย เข้าไปดูว่าเขาฟังเพลงอะไรกัน แล้วก็เลือกที่ตัวเองชอบ จากเพลงทั้งหมดเราก็เลือกแค่ ‘แบบนี้รู้สึกอินเตอร์’ ‘แบบนี้อยากทำ’ ‘แบบนี้ชอบเฉยๆ แต่ยังไม่อยาก’ คือเราก็ไปทำการบ้านกับตัวเองว่าอยากทำอะไรแบบไหน
ELLE: เราชั่งน้ำหนักระหว่างความชอบ ความใช่ กับสิ่งที่คนน่าจะชอบอย่างไร มันยากไหมที่จะให้มาเจอกันตรงกลาง
Silvy: ยากมาก แล้วก็นั่นคือสิ่งที่ทำให้ค่ายมาช่วย เพราะเราคิดคนเดียวไม่ได้ คือเราเป็นคนมั่นใจในงานของตัวเอง แต่การรู้สึกว่างานของเรามันไม่ดีพอมันก็เกิดขึ้นตลอดเวลา อย่างเนื้อเพลงคือมันก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้มันเข้าใจง่ายขึ้น เช่น ก่อนหน้านี้มันจะมีคำว่า ขอร้องได้ไหมเธอ ที่แต่งจากภาษาอังกฤษมาแล้วมันอาจจะถึงใจไป มันก็ถูกเปลี่ยนมา คือยังมีอีกหลายคนมากที่อยู่เบื้องหลังงานนี้
ELLE: เพลงนี้ค่อนข้างโชว์เสน่ห์ที่ต่างออกไปจากซิงเกิ้ลก่อนๆ ซิลวี่คิดว่าเพลงนี้สื่อตัวตนของเราออกมายังไงบ้าง
Silvy: เราว่าด้วยตัวเพลงพอมันเป็นเราร้องถึง pretty girl มันก็ค่อนข้างโชว์ตัวตนของเราออกมาชัดเจนแล้วล่ะ ‘ฉันเป็นผู้หญิงที่ร้องให้กับผู้หญิงอีกคน’ มันยังคงเป็น queer love – queer artist แต่ว่าครั้งนี้ที่พิเศษคือการที่เราได้ร่วมงานกับพี่พัด Zweed n’ Roll ซึ่งก็เป็นหนึ่งใน LGBTQ+ แล้วเขาก็มาช่วยถ่ายทอดความรักในเวอร์ชั่นที่เป็นการแอบชอบใครสักคนครั้งแรกแต่เขาเป็นเพศเดียวกัน ว่ามันรู้สึกประมาณไหน
ELLE: มีโมเมนต์สนุกๆ หรือน่าตื่นเต้นสำหรับการร่วมงานกับพี่พัด Zweed n’ Roll ไหม แชร์ให้ฟังหน่อย
Silvy: ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เจอกัน ซึ่งเราชอบเขามากตั้งแต่อยู่ The Voice มาเหมือนกัน จนครั้งนี้เราก็เป็นคนคิดขึ้นมาเพราะอยากจะได้เขาซึ่งพี่พัดก็ตกลง แล้วด้านการทำงานก็คืออย่างที่เห็นในเอ็มวีว่ามันก็จะดูมีความเรามากกว่าพี่พัด เราว่ามันสนุกตรงนี้แหละ พี่พัดอาจจะได้ทำอะไรใหม่ๆ ในแบบที่ตัวเองไม่เคยทำ เขาจะพูดตลอดว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยแต่งหน้าขนาดนี้ เพราะพี่พัดส่วนมากจะออกแนวดิ่งๆ แล้วก็เท่ ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องลุคอะไร แต่พอมาทำกับเราก็เลยจะมีเรื่องลุคแต่งเติมเข้าไปมากขึ้น แล้วเขาก็จะมีความ express ตัวเองมากขึ้น
![](https://ellethailand.com/wp-content/uploads/2023/12/403872963_196902193468884_8159454519753913107_n.jpg)
“มันสนุกตรงที่เราได้ร่วมงานกับคนที่มีเอกลักษณ์มากๆ แล้วก็เป็นคนที่คล้ายกับเราตรงที่ว่า เป็นศิลปินที่มีความโดดเด่นของตัวเอง แต่พอต่างคนต่างโดดเด่น แต่มาจับรวมกันแล้วมันเป็นส่วนผสมที่อร่อยดี”
เอาจริงแล้วมีอีกหลายอย่างเลย คือโลกของเขากับโลกของเรามันต่างกันมาก เหมือนวันที่ถ่ายเอ็มวีคนในกองก็จะแบบ ‘จึ้งแม่จึ้ง’ ‘เริ่ดมาก’ แต่ในโลกของพี่พัดมันไม่มีคำนี้ เราก็เลยถามเขากลับว่า แล้วโลกพี่พัดเขาพูดว่าอะไรกัน พี่พัดเขาก็บอก มันจะใช้คำว่า ‘โดนเส้น’ ซึ่งตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นแนวจ๊าบว่ะ เฟี้ยวว่ะ ปรากฏจ๊าบกับเฟี้ยวก็ยังมีความกะเทยเฉยเลย
![](https://ellethailand.com/wp-content/uploads/2023/12/silvy-01.jpg)
ELLE: นิยามคำว่า Pretty Girl ของซิลวี่เป็นแบบไหน
Silvy: เราว่าอธิบายให้เห็นภาพยากมาก เพราะเราเป็นคนที่ไม่มีไทป์ เราชอบที่เขาเป็นเขา เพราะฉะนั้นความเป็น pretty girl ในแต่ละคนที่เราชอบนี่ต่างกันสุดขั้วเลย แต่ว่าถ้าจะให้นึกว่ามันมีอะไรที่มันเหมือนกันน่าจะเป็นความสดใสในตัวเองมั้ง แล้วถ้ายิ่งเป็นคนที่เซอร์ไพรส์เราได้ ตอนเจอครั้งแรกเป็นอีกแบบ แต่พออยู่ไปด้วยเรื่อยๆ แล้วแบบเผยธาตุแท้ออกมา เราก็จะชอบขึ้นอีก
ELLE: ถ้าไม่ได้เป็นเชิงคนที่ชอบ ซิลวี่นับว่าตัวเองเป็น Pretty Girl ด้วยไหม
Silvy: นับนะ คือเรารู้สึกว่าใครๆ ก็เป็น Pretty Girl ได้ อย่างในเพลงนี้เองคือเราเป็นเควียร์ เราก็แต่งมาเพื่อผู้หญิงกับผู้หญิง แต่เราไม่ได้อยากจำกัดให้มันเป็นแค่ผู้หญิงถึงผู้หญิงเท่านั้น เราอยากให้แม้แต่ผู้ชายก็เรียกแฟนตัวเองว่า Pretty Girl ได้ เพราะฉะนั้นมันคือความคลั่งรักเลย แล้วก็เธอเป็น Pretty Girl ในโลกของฉันคนเดียวก็ได้ เธอไม่ต้องเห็นฉันก็ได้ เรามีโลกที่เราเห็นแต่เขา มันก็คือความรักครั้งแรกที่เราชอบแล้วเราให้อย่างเดียว รู้สึกว่ารักคือรักไปเลย
![](https://ellethailand.com/wp-content/uploads/2023/12/silvy-04.jpg)
ELLE: มีหลายคนเลยที่บอกว่าซิลวี่ทำเพลงต่างจากศิลปินไทย ทำเพลงไม่เหมือนคนไทย คิดอย่างไรกับคำนี้
Silvy: เราดีใจที่มันยังดู international เพราะว่าตัวเราเองก็ไม่ค่อยได้เสพเพลงไทยเท่าไหร่ พอมาเริ่มแต่งถึงค่อยฟัง ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายเราตอนแรกๆ มันคืออยากโกอินเตอร์ แต่วันนี้ที่เราอยากทำเพลงไทยเพราะว่าเราอยากใกล้ชิดกับแฟนไทย อยากทำให้เขาเข้าใจเรามากขึ้น อยากทำให้มันง่ายขึ้น แต่มันเป็นความรู้สึกที่ผสมๆ กันอีกทางว่า แล้วเราแมสพอหรือยังในไทย คือเราค่อนข้างมั่นใจว่ามีคนที่มองว่างานของเรามันมีค่า มันพิเศษมากๆ แต่ในแง่ของคนไทยทั้งประเทศเห็นด้วยไหม ไม่รู้ แต่เราก็จะพยายามไม่ไปแตะความรู้สึกตรงนั้น เพราะเราอยากมีความสุขในการทำงาน ถ้าคนที่ดูแฮปปี้ เราก็แฮปปี้
ELLE: ถ้าเพลงนี้ไม่ได้ชื่อใกล้เธอ จะเป็นใกล้อะไร
Silvy: ใกล้ตาย เพราะว่า.. ถ้าไม่ได้ใกล้กับเธอจะใกล้ตาย จะหยุดหายใจ อะไรงี้ (หัวเราะ) เนี่ยพอเราแต่งเพลงไทยก็จะเริ่มมีคำคมละ
ELLE: สุดท้าย ฝากอะไรถึงผู้อ่านแอล ในอนาคตมีอะไรให้ติดตาม
Silvy: ตอนนี้ก็มี Pretty Girl ใกล้เธอที่เพิ่งปล่อยออกไป แต่ในส่วนของปีหน้าอีพีหรืออัลบั้มอาจจะมา แล้วก็เพลงแซ่บซ่ามาแน่ เราก็จะกลับไปทวงความเปรี้ยว รอฟังกันได้
“เราแค่รู้สึกว่าซิลวี่เป็นอะไรคนรู้อยู่แล้วจากอัลบั้มแรก ตอนนี้ก็คล้ายๆ เดิม แต่เป็นซิลวี่เวอร์ชั่นที่โตขึ้นอีก เชื่อว่าปัญหาที่เคยพูดไปบ้างแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังย้ำได้อยู่ เพราะว่าเราไม่ตรงกับบรรทัดฐานของสังคมอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ เรื่องบิวตี้สแตนดาร์ด ไม่ว่าจะเรื่องเธอไม่เก็ตสิ่งที่เราทำ เธอมีปัญหากับสิ่งที่เราทำจังเลย แต่ทำไมเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ ในเมื่อเราก็แค่ไม่ต้องรักกันเข้าใจกันก็ได้ เราก็แค่ต่างคนต่างอยู่ เราอยากมีชีวิตที่อยากมีโลกที่แฮปปี้ขึ้น เราไม่ส่งต่อพลังงานลบให้กันก็แค่นั้นเอง”