นับตั้งแต่ซิงเกิ้ลภาษาอังกฤษ ‘Black Tie‘ ของศิลปินหนุ่มดาวรุ่งอย่างเจฟ ซาเตอร์ปล่อยออกมา เชื่อว่าแฟนเพลงและเหล่าคุณวันเสาร์คงจะอดใจไม่ไหวที่จะต้องร้องเพลงท่อน La la la lies… กันไม่หยุด เพราะเพลงนี้ทั้งติดหู มีความแปลกใหม่ ทั้งยังเป็นผลงานอันสะท้อนให้เห็นมุมมองของเจฟ ซาเตอร์ที่กำลังบอกให้โลกรู้ว่าเขาสนุกกับการทำเพลงในวงการดนตรีมากแค่ไหน ไม่เพียงเท่านั้น ผลงานนี้ยังเป็นการร่วมงานกับแฟชั่นแบรนด์ระดับโลกอย่าง Valentino อีกด้วย แอลจึงไม่พลาดชวนหนุ่มคนนี้มานั่งคุยแบบสบายๆ ถึง 10 คำถามที่คุณอาจเคยสงสัยเกี่ยวกับเพลงเนกไทสีดำเส้นนี้ที่เราให้เจ้าตัวมาเฉลยให้คุณฟังเอง พร้อมแล้วก็มาเปิดบทสัมภาษณ์ไปพร้อมกันได้เลย!
ELLE: วันก่อนเห็นเจฟร้องเพลง Black Tie ในไทยเป็นครั้งแรกที่งาน TPOP Concert Fest 2 รู้สึกอย่างไรบ้างกับโชว์ครั้งแรกที่เพิ่งจบไปนี้
Jeff Satur: จริงๆ ก็เป็นอะไรที่พิเศษมากๆ และเป็นโมเมนต์ที่เราไม่คิดว่าคนดูจะไวบ์ขนาดนั้น พอเล่นครั้งแรกก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันว่ามันจะออกมาเป็นยังไง แล้วก็โมเมนต์ที่เล่นตอนนั้นรู้สึกว่ามันมี energy อะไรบางอย่างจากเพลงนี้ จากอารมณ์ของคนดูทำให้การแสดงมัน magical มากๆ ในช่วงที่แสดงครับ
@jeffsatur Party of silence #jeffsatur #blacktie #blacktiejeffsatur @Valentino #ValentinoBlackTie ♬ Black Tie – Jeff Satur
ELLE: ก่อนหน้านี้เจฟมีเพลงเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับจีนไปแล้ว แต่ Black Tie เป็นซิงเกิ้ลภาษาอังกฤษครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ความสนุกของการทำเพลงนี้คืออะไร
Jeff Satur: ความสนุกในการทำเพลงนี้คือเราไม่รู้เลยว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง ผมลองทำโดยให้คอนเซ็ปต์มันนำตัวดนตรีไป พอทำแล้วก็รู้สึกว่าเราชอบอะไรก็ใส่ไปเลย ความสนุกของมันคือเราไม่คิดเยอะ อยากเติมอะไรในดนตรีก็เติมไปเลย เพราะบางทีถ้าทำภาษาไทย บางอย่างอาจจะไม่เหมาะ แต่เพลงนี้ใส่เข้าไปเต็มที่เลย
“ความสนุกอีกอย่างคือการเขียน จริงๆ แล้วผมเขียนเนื้อเพลงนี้บนเครื่องบิน พอเขียนบนเครื่องบินเราใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้ มันรีเสิร์ชอะไรไม่ได้เลยตอนเขียนเนื้อ เพราะฉะนั้นมันเหมือนการค้นเข้าไปในตัวเอง แล้วก็พยายามหาว่าสิ่งที่เราอยากเล่าอยากคุยผ่านเพลงนี้คืออะไรแล้วเขียนมันออกมา โดยที่เนื้อเพลงไม่ใช่เพลงรักด้วย มันพูดถึงสังคมโดยรวมว่าเขาอยากให้เราเป็นแบบนี้ มันเลยเป็นความสนุกที่ไม่ได้ถ่ายทอดแค่เพียงเรื่องความรัก แต่มันคือมุมมองอื่นๆ เชิงสังคมด้วย มันทำให้เพลงนี้เป็นเหมือนเพื่อนกับคนที่รู้สึกกดขี่โดยสังคมหรืออะไรบางอย่าง”
ELLE: ชอบท่อนไหนในเพลงนี้เป็นพิเศษ
Jeff Satur: สิ่งแรกที่เรานึกถึงยังไม่ใช่เนื้อเพลง แต่เป็นเรื่องของเนกไทสีดำ มันเป็นสิ่งที่เราใส่มันไปทั้งงานศพและงานแต่ง เราไปทั้งสองงาน และสองสิ่งนี้คือการผสมผสานกัน เลยมองว่าถ้าเอาตรงนี้มาเล่นแล้วเขียนเนื้อเป็น Now I’m in the wedding of my tears and my despair เหมือนน้ำตากับความสิ้นหวังแต่งงานกัน มันเหมือนความเสียใจที่เราต้องทอดทิ้งตัวตนไป ก่อนจะต่อด้วยท่อน Soon I’d be at the funeral of all thе things I care เหมือนเราไปงานแต่ง แล้วไปงานศพของทุกสิ่งอย่างที่เรารักแล้วบอกลากับมัน แล้วมันก็จะกลับไปเกี่ยวกับท่อนแรกที่เราบอกว่า Seven years old, Losing that part of my soul คือการเสียตัวตนในอายุ 7 ขวบไปก็เหมือนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในวัยเด็กของเรา ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุด ได้เล่นได้ทำทุกอย่าง แต่มันหายไปหมด เหมือนสูญเสียสิ่งที่เรารักแล้วก็มีความสุขไป ประมาณนั้นครับ
ELLE: แล้วในมิวสิกวิดีโอล่ะ
Jeff Satur: จริงๆ ผมชอบหลายฉาก แต่ฉากหนึ่งที่ชอบมากๆ คือฉากกระจก เหมือนเราเห็นว่าต่อให้เราจะพยายาม fit in ในสังคมหรือเห็นว่าทุกคนทำตามเรา แต่พอเราแตกต่างจากเพื่อน มันก็จะมีคนบางกลุ่มมาตามเราอีกทีหนึ่ง เหมือนว่าสุดท้ายแล้วสังคมไม่ได้เป็นสแตนดาร์ดที่ถูกต้อง แต่มันแค่ว่าใครที่โดดเด่นหรือแตกต่างในสังคม อยู่ดีๆ ก็มีคนตามพวกเขาอยู่ดี เพราะฉะนั้นมันจะไม่สามารถเป็นบรรทัดฐานอะไรของสังคมได้ ไม่ว่าเราจะดีหรือเลวก็ตาม มันจะมีบางอย่างที่ติดตามสิ่งนั้นเสมอ ถ้าเราไม่ได้เป็นหนึ่งใน Follower เราก็จะเป็น Leader
ELLE: ความสนุกตอนถ่ายทำมิวสิกวิดีโอนี้คืออะไร
Jeff Satur: ในช่วงที่ถ่ายฉากสุดท้ายเวลามันเหลือน้อยมากๆ ตะวันใกล้จะขึ้นแล้ว เขาก็เลยจะตัดฉากหนึ่งออกไป แต่ผมก็รู็สึกว่าถ้ามันหายไปฉากหนึ่งก็คงจะน่าเสียดายเนอะ ผู้กำกับเลยบอกว่าเรามาถ่ายอีกฉากแล้วกัน เผื่อไว้เราจะได้ใช้ แล้วพอถ่ายไปอยู่ดีๆ ฝนก็ตก ฝนก็ค่อยๆ โปรยลงมา พอท่อนเวิร์สฝนก็หายไป แล้วก็กลับมาอีกท่อนสอง แล้วก็มาแรงสุดๆ ในช่วงท้าย เหมือนที่เราเห็นกันในเพลง พอถ่ายเสร็จฝนก็หยุด ก็เลยงงว่า โห เอ็กซ์ตร้ามาแค่ตอนที่เราถ่ายเท่านั้น แค่เฉพาะฉากนั้น แล้วบทจะมาแบบตรงทุกจังหวะเลย นี่เป็นเรื่องสนุกครับ (ยิ้ม)
ELLE: Black Tie เป็นทั้งชื่อเพลงและชื่อคอลเล็กชั่นล่าสุดของ Valentino สองอย่างนี้ส่งผลกับวิธีถ่ายทอดงานศิลปะของเราอย่างไร
Jeff Satur: มันส่งผลมากเลย ด้วยความที่มันเป็นแรงบันดาลใจเราตั้งแต่ต้น เราเห็นว่าชุด Black Tie มันมีความแตกต่างกันมาก บางลุคมีเนกไทแล้วลงมาเป็นเดรสต่อกัน หรือเนกไทในสีหรือทรงอื่นๆ ที่แตกต่างกัน มันเลยทำให้เรามองว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป มันชื่อ Black Tie แต่ไม่ได้เหมือนเป็น Black Tie จริงๆ เสียทีเดียว เพราะฉะนั้นนิยามในการทำเพลงของเราก็เหมือนกัน
“ช่วงที่ผ่านมาเราได้ฟังหลายๆ เพลงแล้วมันสร้างแรงบันดาลใจบางอย่างให้เรา เพลงอาจจะไม่ต้องเป็นแบบใดแบบหนึ่งก็ได้ เราอยากทำแบบไหนก็ลองทำไปก่อน เพลงนี้ก็เลยเป็นเพลงที่ไม่เหมือนกับที่เคยทำมาทั้งหมด ก็เลยทำให้เกิดเป็น Black Tie ในแบบที่เราตีความออกมา ทั้งเนื้อเพลง หรือดนตรีเองก็เป็นการสร้างนิยามใหม่ๆ ทางดนตรีที่ไม่เหมือนกับที่เจฟซาเตอร์เคยผ่านมาครับ (ELLE: ช่วงแรกของเพลงก็มีเสียงเหมือนเอื้อน) ใช่ครับ จะมีความเป็นไทยอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น”
ELLE: แล้วนอกจากคอลเล็กชั่น Black Tie เรามีศิลปิน หนังสือ หรือแนวดนตรีไหนที่มันส่งอิทธิพลต่องานเรามากๆ ในช่วงทำเพลงนี้ไหม
Jeff Satur: ช่วงที่ผ่านมาผมฟัง Labrinth ฟังทั้งอัลบั้มเลย เขาเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราในการทำเพลง ทำให้เรากลับมารู้สึกว่า พอฟังแล้วมันรู้สึกอยากทำเพลงเลยในตอนนั้น แล้วผมชอบเขาอยู่แล้ว บวกกับช่วงนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะกำลังดูหนังที่มีความดาร์กนิดหนึ่ง พวกหนัง thriller ซาวน์ต่างๆ เลยออกมาค่อนข้างระทึกใจ มีกลิ่นความดาร์กๆ หน่อย ผมก็รู้สึกว่างานศิลป์บางอย่างมันมีพลังงานที่พาเราไปในเพลงที่.. เออ เราทำแบบนี้ได้ด้วย
ELLE: ตอนปล่อยเพลงมีคาดหวังรีแอ็กชั่นจากคุณวันเสาร์บ้างไหม
Jeff Satur: ด้วยความที่เพลงมันเป็นภาษาอังกฤษ มันจะมีความรู้สึกว่าเราจะต้องยังไงดีกับเพลงนี้ แต่กลายเป็นว่าทุกคนตีความ แล้วเขาก็เข้ามาฟังกัน แล้วจริงๆ ผมก็แอบคาดหวังความแมสน่าจะน้อยกว่านี้ (หัวเราะ) เพราะมันเป็นเพลงสากล แล้วเนื้อหาเพลงมันค่อนข้างยาก ตัวมิวสิกวิดีโอก็ไม่ได้เล่าเรื่องว่ามีอะไรเกิดขึ้น 1-2-3-4 ทุกอย่างมันดูยากไปหมด ก็เลยรู้สึกว่า บางทีอาจไม่ใช่แค่กับคุณวันเสาร์ แต่แฟนเพลงส่วนมากจะเข้าใจหรือเปล่าว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ (ฮา) แต่เพลงนี้มันเป็นหนึ่งในก้าวหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะทดลองแนวเพลงหรือทำอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่ว่าทุกเพลงจะออกมาเป็นแบบนี้ แต่ ณ จุดนี้ เราก็แค่อยากจะสนุกกับตรงนี้เฉยๆ
ELLE: ถ้าเพลงนี้กลายเป็นเพลงประกอบหนัง หนังเรื่องนั้นจะเป็นแนวไหน ตัวเอกบุคลิกเป็นอย่างไร
Jeff Satur: หนัง Thriller ประกอบ Project D เล่นเอง (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าผมนึกถึงเรื่อง Hannibal นะ มันเป็นซีรี่ส์เรื่องที่ผมดูจบไป 4 รอบแล้ว เป็นเรื่องที่แบบโคตรสนุกเลย แล้วมันดีมาก มันมีความระทึกใจ มีความลึกลับน่าค้นหา แต่ในเวลาเดียวกันมันมีความเป็นปรัชญา ส่วนตัวเอกก็เป็นแบบนั้นเลย เป็นคนที่พยายามจะ break free จากอะไรบางอย่าง เรื่องนี้มันทำให้เราตั้งคำถามกับบรรทัดฐานของสังคมว่าอะไรคือสิ่งที่มันถูกหรือผิดอยู่ตลอดเวลา
ELLE: ตอนนั้นเจฟเคยบอกแอลช่วงปล่อยเพลง Lucid ว่าอยากให้เพลงนั้นเป็นเพลงกล่อมนอนให้กับแฟนๆ แล้วสำหรับเพลง Black Tie นี้ล่ะ
Jeff Satur: ส่วนมากคนฟังจะฟังตอนวิ่ง ตอนออกกำลังกาย ตอนจะต้องไปบู๊ ตอนต้องการ energy ผมว่ามันคือ Energy Drink เป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่ามี energy ขึ้นมา ฟังแล้วรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรบางอย่างในตอนนั้น มันคือเพลงนั้น เวลาผมฟังในหูฟังแล้วมันส์เลย
Photos: Pathomporn Phueakphud