หลังจากมีการปรับเปลี่ยนทิศทางครั้งสำคัญของแบรนด์และห่างหายจากแฟนๆ ชาวไทยไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง Aesop แบรนด์สกินแคร์ชั้นนำระดับโลกจากประเทศออสเตรเลียกลับมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง พร้อมให้ทุกคนได้เปิดประสบการณ์ความงามครั้งใหม่ผ่าน Aesop Thonglor ซิกเนเจอร์สโตร์แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ในทองหล่อ ซอย 13 นับเป็นบิวตี้ฮับแห่งใหม่ที่ชวนให้สาวกแบรนด์ Aesop มาสัมผัสอัตลักษณ์ของแบรนด์ที่แฝงอยู่ในทุกๆ อณูของร้านที่ตกแต่งเป็นเรือนไม้ “ถ้ามองย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้นของแบรนด์ คนไทยคือลูกค้าชาวเอเชียกลุ่มแรกๆ ของเราเลย ร้านใหม่แห่งนี้จึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางที่เชื่อม Aesop และแฟนๆ ชาวไทยเข้าด้วยกัน และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มาสัมผัสโลกของ Aesop อีกครั้ง ซึ่งเมื่อเปิดประตูเข้ามาจะพบกับบรรยากาศที่เราอยากถ่ายทอดเสน่ห์ของชุมชนผ่านการผสมผสานวัฒนธรรมไทยแบบร่วมสมัยเข้าไปในการตกแต่ง โดยหวังว่าจะช่วยมอบความรู้สึกผ่อนคลายให้กับทุกคนที่ได้แวะมา” Suzanne Santos หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ผู้ดำรงตำแหน่ง Aesop Chief Customer Officer กล่าวแสดงความตื่นเต้นที่เธอได้มีโอกาสเดินทางมาร่วมเปิดร้านใหม่ในครั้งนี้

ความเงียบสงบคือสิ่งแรกที่ทางแบรนด์ตั้งใจอยากให้ทุกคนที่แวะเวียนมารู้สึกได้เมื่อเหยียบย่างเข้ามาในร้าน เป็นการออกแบบที่ได้แรงบันดาลมาใจจากเสน่ห์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของกรุงเทพมหานคร ผสานเข้ากับสไตล์การตกแต่งและการออกแบบที่ทันสมัย โดยได้ Sher Maker Studio สตูดิโอสถาปนิกชาวไทยผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และพลังของการออกแบบสิ่งใหม่มาร่วมออกแบบในครั้งนี้ พื้นที่แห่งนี้รายล้อมไปด้วยไม้สักเหลือใช้ สะท้อนกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ความเป็นไทย ตัดกับการเลือกใช้สีโทนสบายตาทำให้บรรยากาศนั้นช่วยสร้างความผ่อนคลายขณะที่กำลังดื่มด่ำไปกับผลิตภัณฑ์และศาสตร์การดูแลผิวของ Aesop


Signature Space
Aesop Thonglor ซิกเนเจอร์สโตร์แห่งนี้คือหนึ่งในสาขาใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทางแบรนด์ได้เลือกที่ตั้งของร้านให้อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งใจเลือกทองหล่อเพราะเป็นย่านที่มีความหลากหลายในการดำเนินชีวิต โดยมีเสน่ห์และวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นแรงบันดาลใจหลักในการออกแบบร้าน ทุกรายละเอียดของแต่ละมุมภายในร้านสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของแบรนด์ Aesop พื้นที่ภายในพร้อมเชื้อเชิญให้ทุกคนมาทำความรู้จักกับศาสตร์การดูแลผิวที่มุ่งเน้นในการรักษาความสมดุลผ่านผลิตภัณฑ์เรียงรายอยู่ในร้าน โดยทั้งหมดผ่านการรังสรรค์จากการผสานวิทยาศาสตร์และศาสตร์ของธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน

To Pause and Feel
เมื่อแวะมาเช็กอินที่ร้าน Aesop Thonglor ภายในจะพบกับ 2 มุมไฮไลต์ เริ่มที่ส่วนพื้นที่หลัก ซึ่งประกอบไปด้วยงานไม้จากเทคนิคต่างๆ ส่วนฝาผนังนั้นตกแต่งด้วยขวดแก้วสีอำพันเรียงรายอวดโฉมผลิตภัณฑ์ ทั้งสำหรับผิวหน้า ผิวกาย เส้นผม และสำหรับใช้ภายในบ้าน โดยหนึ่งในรายละเอียดสำคัญคืออ่างล้างมือที่สร้างขึ้นจากหินแกรนิตชนิดเดียวกับที่นิยมใช้ในห้องครัวท้องถิ่นซึ่งตั้งอยู่ใจกลางร้าน ชวนให้ทดลองผลิตภัณฑ์ของ Aesop โดยมีผู้เชี่ยวชาญของแบรนด์คอยให้คำปรึกษาและแนะนำการใช้อย่างเป็นกันเอง “แบรนด์ Aesop มีความเชื่อเสมอมาว่าการดูแลผิวควรเรียบง่าย เรามักจะสนับสนุนให้เลือกเสริมผลิตภัณฑ์ของเราเข้าไปในกิจวัตรดูแลผิว ควบคู่กับการสร้างไลฟ์สไตล์ที่บาลานซ์จากการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอและกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย” Suzanne เน้นย้ำถึงปรัชญาที่เป็นหัวใจของ Aesop ขณะพาขณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมมุมต่างๆ ภายในร้าน

จากทางเข้าถัดมาทางด้านซ้ายมือจะพบกับห้องฝาไหลจากเทคนิคของบ้านไทยโบราณที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์ความเงียบและเป็นส่วนตัว โดดเด่นด้วยประตูบานเลื่อนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรือนไม้ทางภาคเหนือของไทย ภายในจะพบกับหลุมไฟดินเผาแบบดั้งเดิมที่พบได้ในพื้นที่ชนบทตั้งอยู่กลางห้อง ส่วนด้านข้างเป็นตู้ไม้สักที่เมื่อเปิดออกจะพาเราเข้าสู่โลกคอลเล็กชั่นความหอมของ Aesop สเปซที่พาเราไปสัมผัสความเงียบสงบและได้รื่นรมย์ไปกับการค้นพบเรื่องราวของแต่ละกลิ่นหอม
Discover Your Routine
เมื่อได้โอกาสหลีกหนีความวุ่นวายและเข้ามาผ่อนคลายในบรรยากาศของร้านที่เงียบสงบ แน่นอนว่าก่อนกลับทุกคนจะได้รับเทคนิคการดูแลผิวตามแบบฉบับของ Aesop ไว้ใช้ควบคู่กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ หนึ่งในลิสต์ตัวช่วยดูแลผิวตัวโปรดของสาวก Aesop ทั่วโลกต้องยกให้ Parsley Seed Anti-Oxidant Intense Serum เซรั่มเข้มข้นแต่เบาสบายผิว มาพร้อมสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นให้ผิวดูอิ่มฟู

และไอเท็มช่วยเติมเต็มรูทีนที่หลายคนขาดไม่ได้อย่าง B Triple C Facial Balancing Gel มอยส์เจอไรเซอร์เนื้อเจลครีมบางเบา อุดมด้วยส่วนผสม Pro-Vitamin B และ C ที่ช่วยให้ผิวหน้าสมดุล นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดรอให้แฟนๆ ของแบรนด์ได้มาค้นพบที่ร้านอย่าง Immaculate Facial Tonic โทนเนอร์เนื้อเข้มข้น ทำหน้าที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน อุดมด้วยวิตามินจากสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยเผยผิวที่ดูเรียบเนียน


5 Questions With Suzanne Santos

ELLE: ช่วยเล่าถึงร้าน Aesop แห่งแรกให้ชาวแอลฟังเล็กน้อย
Suzanne Santos: ร้าน Aesop แห่งแรกเปิดตัวที่ประเทศออสเตรเลียในย่าน St.Kilda ในปี 2003 ร้านนี้คือจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เป็นจุดกำเนิดของมาตรฐานการบริการของเรา รวมถึงเป็นที่ที่ดีไซน์ของเราเกิดก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างและไกด์เรามาถึงตอนนี้ จนปัจจุบันนี้ทีมเรายังคงนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน
ELLE: หลังจากเคาน์เตอร์ Aesop ห่างหายจากแฟนๆ ชาวไทยไปนานถึง 2 ปี การกลับมาครั้งนี้คุณอยากให้คนที่แวะมาที่เคาน์เตอร์ได้ประสบการณ์ที่ยกระดับขึ้นในแง่มุมไหนบ้าง?
SS: ลูกค้าชาวไทยเป็นกลุ่มลูกค้าเก่าแก่ของเราเลยในช่วงที่เราย้ายบริษัทไปอยู่เมือง Melbourne ในช่วงต้นยุค 90s พวกเขาชอบเดินทางมาที่ร้านในเมลเบิร์นและแวะไปช้อปปิ้งต่อในย่านนั้น บอดี้บาล์มไซส์บิ๊กเบิ้มคือไอเท็มที่พวกเขาชอบซื้อติดมือกลับบ้านกันซึ่งในช่วงนั้นเองเราได้พูดคุยและรู้จักลูกค้าชาวไทยมากขึ้น ดังนั้นสำหรับฉันการกลับมาเปิดซิกเนเจอร์สโตร์ที่นี่อย่างเป็นทางการชวนให้นึกถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์เราที่มีลูกค้าชาวไทยคอยอุดหนุนเสมอมา และยิ่งได้มายืนอยู่ในร้านและได้ชื่นชมบรรยากาศพร้อมกับได้เห็นความตื่นเต้นของคนที่แวะเวียนมาสะท้อนให้เห็นถึงความผูกผันระหว่าง Aesop และคนไทยที่ไม่เคยเลือนหายไปไหน ร้านใหม่แห่งนี้จึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางที่เชื่อม Aesop และแฟนๆ ชาวไทยเข้าด้วยกัน และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มาสัมผัสโลกของ Aesop อีกครั้ง เปิดประตูจะพบกับบรรยากาศที่เราอยากถ่ายทอดเสน่ห์ของชุมชนผ่านการผสมผสานวัฒนธรรมไทยแบบร่วมสมัยเข้าไปในการตกแต่ง โดยหวังว่าจะช่วยมอบความรู้สึกผ่อนคลายให้กับทุกคนที่ได้แวะมา

ELLE: คุณคิดว่าการตกแต่งภายในร้านมีอิทธิพลต่อลูกค้าที่แวะเข้ามาอย่างไรบ้าง?
SS: ในเรื่องของการออกแบบเราเน้นความเรียบง่าย โดยเป็นความตั้งใจของเราที่อยากให้พื้นที่โปร่งสบายตาช่วยปรับสมดุลร่างกายและจิตใจ ไฟในร้านจะไม่สว่างมาก ซึ่งช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เราต้อนรับลูกค้าด้วยความสงบ อบอุ่น รายล้อมไปด้วยกลิ่นหอมรื่นรมย์ขณะที่ทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์ของ Aesop ผ่านคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญของเรา ทุกๆ บทสนทนาที่มีกับลูกค้าล้วนมีความหมายกับเรามากๆ โดยได้รู้จักปัญหาผิวและสภาพผิวของพวกเขาในขณะที่เราได้มีโอกาสแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ บริเวณอ่างล้างหน้า ซึ่งเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ลองกับผิวของตัวเองเพื่อตามหารูทีนที่ตอบโจทย์กับแต่ละบุคคลที่สุด

ELLE: Aesop มีปรัญชาการดูแลผิวอย่างไรบ้าง?
SS: เราเชื่อในการปรนนิบัติผิวที่เรียบง่ายและตอบโจทย์กับสภาพผิวในขณะนั้น เราให้ความสำคัญกับขั้นตอนพื้นฐานได้แก่การทำความสะอาดวันละ 2 ครั้ง ตามด้วยโทนเนอร์ และมอยส์เจอไรเซอร์ ในขณะเดียวกันเสริมทัพรูทีนด้วยการทำเฟเชียลทรีตเมนต์ที่ประกอบด้วยการฟื้นฟูผิวด้วยน้ำมันและมาส์กเติมความชุ่มชื่น เราแนะนำการผสมการใช้ผลิตภัณฑ์เข้าด้วยกันเพื่อช่วยเติมเต็มรูทีน เมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์ของเรา การสื่อสารของเราเน้นความจริงใจ สังเกตได้จากการที่เราไม่ใช้เซเลบริตี้ในการโฆษณาสินค้า ความตั้งใจของเราคือการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมคุณภาพประสิทธิภาพที่ดีต่อผิวหน้า ผิวกาย และเส้นผม เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มกลิ่นหอมสำหรับภายในบ้าน
ELLE: ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ไหนของ Aesop ที่คุณขาดไม่ได้ในรูทีนบ้าง?
SS: ความน่าสนใจของแบรนด์เราคือมีตัวเลือกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากๆ สำหรับชีวิตประจำวัน แต่สำหรับฉันตอนนี้ที่ชื่นชอบและใช้เป็นประจำในรูทีนคือ Immaculate Facial Tonic โทนเนอร์ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนที่เราเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้
