Tuesday, February 11, 2025

เจาะลึก 5 มิติสำคัญ ในวันที่ผู้หญิงก้าวขึ้นมาเขียนหน้าประวัติศาสตร์ของวงการบันเทิงมากยิ่งกว่าที่เคย

“Who run the world? Girls!” ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนคงไม่มีใครสามารถอ่านประโยคนี้ได้โดยไม่ใส่ทำนอง เนื้อเพลงสุด empowering ที่ปลุกใจสาวๆ ถึงความแข็งแกร่งของพวกเธอ ก่อนที่ 14 ปีให้หลัง เจ้าของเพลงอย่าง Beyoncé จะถูกยกย่องให้เป็นศิลปินป๊อบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษ พร้อมๆ กับผู้หญิงอีกมากมายจากทั่วทุกมุมโลกได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในวงการบันเทิงมากยิ่งขึ้น เปิดศักราชใหม่ เมื่อศตวรรษที่ 21 ของเราได้มาสู่ 1/4 ทางแล้ว แอลจึงขอหยิบยก 5 ประเด็นสำคัญในวันที่หลายหน้าประวัติศาสตร์ของวงการบันเทิงถูกเขียนด้วยเรื่องราวของผู้หญิง ให้สมกับเนื้อเพลงที่ว่า “ใครรันวงการนี้? ผู้หญิงอย่างเราไงล่ะ!”

Music World Domination

ประเดิมกันด้วยการถูกจารึกบนหน้าประวัติศาสตร์วงการเพลงในฐานะ ‘ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21’ ทั้งที่วัดกันด้วยอิทธิพลที่สร้างต่อวงการ และด้วยตัวเลขค่าสถิติต่างๆ ที่ทำได้ แน่นอนว่าบัลลังก์นี้ไม่ใช่ใครก็ทำได้ แต่ Beyoncé กับ Taylor Swift ก็ได้พาชื่อของเธอมาสวมมงกุฎตำแหน่งนี้ จากการยกย่องของ Billboard ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่สะท้อนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ว่าผู้หญิงเข้ามามีบทบาทต่อวงการเพลงมากเพียงใด

คอนเสิร์ตของศิลปินหญิงยังคงขึ้นหน้าประวัติศาสตร์อยู่บ่อยครั้งทั้ง Taylor Swift ที่กวาดรายได้คอนเสิร์ตที่ทำเงินได้มากที่สุดตลอดกาลโดย The Eras Tour สามารถขึ้นแท่นคอนเสิร์ตพันล้านครั้งแรกของโลก หรือ IU ที่กลายเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่จัดคอนเสิร์ตในฮอลล์ที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ นอกจากนี้ หากพูดถึงวงการเคป๊อบในช่วงปีที่ผ่านมา ก็เห็นได้ชัดว่าบนชาร์ตเพลงในประเทศนั้นต่างถูกครองหัวตารางด้วยศิลปินหญิงตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็น NewJeans, IVE, IU หรือ Aespa ที่สร้างสถิติ Perfect All Kill (PAK) ติดลมบนในทุกชาร์ต รวมไปถึง BLACKPINK ที่ผลัดกันคว้า 5 สถิติโลกบนหน้า Guinness Book และเผยโฉมในอีเวนต์สำคัญๆ อีกด้วย 

เช่นเดียวกับในงานประกาศรางวัลสุดยิ่งใหญ่ของวงการเพลงอย่าง 2025 Grammys ที่รายชื่อถูกเข้าชิงนั้นล้วนเต็มไปด้วยชื่อของศิลปินหญิงคนสำคัญ อย่าง Beyoncé, Taylor Swift, Billie Eilish, Sabrina Carpenter และอีกมากมาย นับเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ที่กระแสความนิยมของผู้หญิงนั้นได้รับการยอมรับเป็นวงกว้าง และคว้ารางวัลอันทรงเกียรติมากมายหลากหลายเวทีจริงๆ 

Female Lead Film

เราเห็นตัวละครหญิงมีบทบาทในภาพยนตร์มาโดยตลอด แต่หากตั้งคำถามว่าบทบาทของเธอถูกนำเสนออย่างไรบ้าง? เป็นตัวละครที่อยู่เคียงคู่ซัพพอร์ตกับตัวละครชาย หรือการมีอยู่ของเธอนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ในฐานะแม่ น้องสาว พี่สาว หรือคนรักของใครหรือเปล่า ตัวเธอนั้นสำคัญหรือใครกันที่เป็นคนตัดสินคุณค่า อย่างไรก็ดี เมื่อกาลเวลาผ่านไป บทบาททางเพศที่นำเสนอผ่านภาพยนตร์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับภาพยนตร์ ‘Female Lead’ ซึ่งหยิบยกเรื่องราวของผู้หญิงมาดำเนินที่ก็ได้เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีให้หลังมานี้ที่เหล่าตัวละครหญิงได้ลุกขึ้นมาสร้างปรากฏการณ์สุดยิ่งใหญ่ และทำให้โลกทั้งใบได้เห็นว่าเรื่องราวของ ‘ผู้หญิง’ นั้นทรงพลังเพียงใด

หนึ่งในนั้นที่ไม่พูดถึงไปไม่ได้ ก็คือ Barbie (2023) ตุ๊กตาสาวสวยผมบลอนด์หุ่นดีผู้เลิฟสีชมพูเป็นชีวิตจิตใจและใครต่อใครก็รัก นี่คือบาร์บี้ที่ใครหลายคนคุ้นตา ก่อนที่ผู้กำกับหญิง Greta Gerwig จะหยิบเรื่องราวของสาวคนนี้ขึ้นมาเล่าในมุมมองใหม่ เมื่อเธอออกจากบาร์บี้แลนด์มาสู่โลกที่ชายเป็นใหญ่ และพบว่าความสาวนั้นไม่อยู่ยั่งยืนยง เนื้อเรื่องจิกกัดปิตาธิปไตยพร้อมชูความหลากหลายนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่สู่สังคมจนกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 1.4 พันล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 5 หมื่นล้านบาท กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในปี 2023 พร้อมกับถูกเสนอชื่อเข้าชิงและคว้ารางวัลจากเวทีระดับโลกอย่างถล่มทลาย

หรือเขยิบถอยหลังไปอีกหน่อยกับภาพยนตร์ Everything Everywhere All at Once (2021) กับเรื่องราวสุดแฟนตาซีเมื่อเราสามารถหยิบยืมพลังจากตนเองในหลากมิติมาได้ และในขณะเดียวกันก็สอดแทรกประเด็นแรงกดดันที่ ‘ลูกสาวชาวเอเชียน’ ต้องแบกรับตลอดชีวิตได้อย่างลงตัวจนกวาดรางวัลจากเวทีประกาศรางวัลอันทรงเกียรติอย่าง Oscars ปี 2023 ไปได้กว่า 7 รางวัล ซึ่งสูงที่สุดในปีนั้นเลย

เพราะเรื่องราวของสาวๆ นั้นไม่เคยธรรมดา ในฤดูกาลงานประกาศรางวัลเช่นนี้เราจึงเห็นได้ว่ามีภาพยนตร์ตัวเต็งหลายเรื่องที่ตัวละครหญิงเป็นตัวดำเนิน ไม่ว่าจะเป็น Wicked ของสองสาวแม่มดต่างสไตล์กับมิตรภาพก่อนจะปูทางไปสู่การแตกหักกันของแม่มดดีและแม่มดร้ายใน The Wizard of Oz, Emilia Pérez เมื่อหัวหน้าแก๊งค้ายาเพศติดอยากแปลงเพศเป็นผู้หญิง และเหล่าสาวๆ ผู้ดิ้นรนเพื่อหาความสุขในแบบของเธอ, Maria หนังชีวประวัติของ Maria Callas นักร้องโซปราโนชื่อก้องกับห้วงเวลาสุดท้ายของเธอ รวมไปถึง Moana 2 การผจญภัยครั้งใหม่ของสาวน้อย Moana หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์ไทยอย่าง Hunger ที่ส่ง ออกแบบ ชุติมณฑน์ ไปคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีนานาชาติอย่าง International Emmy Awards ครั้งที่ 52 เองก็ดำเนินเรื่องด้วยตัวละคร ‘เชฟออย’ เช่นกัน เชื่อได้เลยว่า ต่อไปจากนี้จะมีภาพยนตร์เกี่ยวกับผู้หญิงดีๆ ออกมาให้เราได้ชมกันอีกไม่ขาดสายแน่ๆ

The Rise of Girls’ Love

เมื่อความรักเกิดขึ้นกับคนได้ในหลากหลายรูปแบบ และสังคมที่เปิดกว้างก็มีการยอมรับมากขึ้นในเรื่องเพศ ทั้งการดำเนินชีวิตประจำวันรวมไปถึงสื่อบนโซเชียลมีเดียทุกแขนง ตลอดจนแทรกซึมอยู่ในหนังหรือละครที่เราดูกันมานานนม เช่นเดียวกับเรื่องราวของเหล่าแซฟฟิก ดังเช่นซีรีส์ชุด Orange Is the New Black เมื่อปี 2013 โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ในเรือนจำหญิงล้วน รวมถึงเรื่องของความรักที่เกิดขึ้นภายในนั้นด้วยเช่นกัน หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์รางวัลอย่าง Blue is the Warmest Colour และ Portrait of a Lady on Fire ซึ่งได้รับคำวิจารณ์แบบเสียงแตกในหลากหลายแง่มุม และจุดประเด็นความต่างระหว่างแซฟฟิกผ่าน Male Gaze กับ Female Gaze

เฉกเช่นเดียวกับกระแสของซีรีส์วายที่ในอดีตหากพูดถึงขึ้นมา หลายคนก็คงมีภาพของตัวละครชายรักชาย แต่ปัจจุบัน Girls’ Love เองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความรักของพวกเธอเองก็น่าสนใจจนได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม สามารถสร้างปรากฏการณ์และกลายมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมในปัจจุบันได้ด้วยเช่นกัน พร้อมสร้างมิติมุมมองใหม่ๆ เมื่อโลกในซีรีส์ไม่ได้มีเพียงแค่ ‘พระเอก’ และ ‘นางเอก’ อีกต่อไป ดังที่ หลิงหลิง คอง และ ออม กรณ์นภัส จากซีรีส์ ใจซ่อนรัก ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้หลังถูกตั้งคำถามว่า เราจะนิยามตัวละครเอกสองตัวว่าอย่างไร หากละครในอดีตมีแค่ พระเอกและนางเอก? ซึ่งเธอสองคนก็ได้ให้นิยามว่า “เราทั้งคู่เป็นนางเอกของกันและกัน”

ไม่เพียงแค่ในซีรีส์ของไทยเท่านั้น เพราะเรายังได้เห็นเรื่องราวของแซฟฟิกบนจอใหญ่อย่างภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน ทั้งภาพยนตร์ไทยอย่าง Solids by the Seashore ทะเลของฉันมีคลื่นเล็กน้อยถึงปานกลาง ที่ได้เผยเรื่องราวรักของหญิงสาวที่ต้องห้ามโดยศาสนาในเทศกาลหนังปูซานและคว้ารางวัลใหญ่ถึงสองรางวัล หรือแม้กระทั่ง Bottoms ภาพยนตร์ที่ครองใจชาวแซฟฟิก และ Heavy Snow ที่นักแสดงสาวระดับแนวหน้าของเกาหลีมารับบทนำด้วยเช่นกัน

Being woman is not easy

แม้จะมีสถิติมากมายที่ผู้หญิงได้เขียนลงบนหน้าประวัติศาสตร์ของวงการบันเทิง แต่ปัญหา ‘ความไม่เท่าเทียม’ และการที่ผู้หญิงในวงได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมนั้นก็ยังคงเป็นที่พูดถึงมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาลประกาศรางวัลเช่นนี้ ที่เรามักได้เห็นคนออกมากางสัดส่วนชายและหญิงผู้คว้ารางวัลมาเทียบให้ดูกันชัดๆ บางทีนั่นอาจเป็นเพราะแนวคิดที่ฝังรากลึกว่า ‘ผู้ชายนั้นดึงดูดผู้ชม’ ซึ่งแม้เราจะรู้ดีว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด แต่มันก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างซ้ำๆ ในการกดค่าแรงของนักแสดงหญิง จนแม้แต่นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง Olivia Colman ยังออกมาเปิดใจถึงประเด็นนี้ว่า “ฉันคิดมาตลอดเลยนะ ถ้าฉันเป็น ‘โอลิเวอร์ โคลแมน’ (ชื่อผู้ชาย) ฉันคงจะได้เงินเยอะมากๆ กว่าที่เป็นอยู่ ครั้งหนึ่งฉันเคยเจอความต่างของค่าจ้างแบบ 12,000% เลยแหละ ลองคำนวณเลขดูสิ”

ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องค่าแรง แต่กรอบของสังคมที่วางเอาไว้ว่า ‘ผู้หญิงควรเป็นเช่นไร’ ยังได้สร้างบาดแผลทางใจให้ผู้หญิงในวงการไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็น Keira Knightley บอกมาเปิดเผยว่า แม้จะแจ้งเกิดผ่านบทบาท Elizabeth Swann ในภาพยนตร์ Pirates Of The Caribbean แต่ในขณะเดียวกัน คำวิจารณ์ต่างๆ ที่เธอต้องเผชิญตามมา (แตกต่างจากนักแสดงนำชายอย่าง Johnny Depp และ Orlando Bloom ที่ขาขึ้นเอาๆ) ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอตกต่ำต่อหน้าสาธารณชนเช่นกัน เช่นเดียวกับ Florence Pugh ที่เล่าถึงการเป็นผู้หญิงในวงการฮอลลีวูดว่า “มันมีเส้นบางๆ ที่ผู้หญิงจะต้องอยู่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเธอก็จะถูกเรียกว่าดีว่า, เรียกร้องมากเกินไป หรือไม่ก็ตัวปัญหา และฉันก็ไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสเตอริโอไทป์ที่คนอื่นกำหนดไว้ มันเหนื่อยมากจริงๆ กับการเป็นหญิงสาวในอุตสาหกรรมนี้”

อีกหนึ่งค่านิยมแปลกๆ ที่ผู้หญิงในวงการบันเทิง โดยเฉพาะในฝั่งเอเชียเราต้องเผชิญ นั้นคงเป็นเรื่องของคุณค่าของพวกเธอที่ถูกลดทอนลงเมื่อเปลี่ยนสถานะมาเป็น ‘ภรรยา’ และ ‘แม่’ ในขณะที่นักแสดงชายยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการต่อไปราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นี้ แม้แต่นักแสดงสาวผู้มีบทบาทสำคัญในแวดวงบันเทิงเกาหลีอย่าง พัคชินฮเย เองก็ยังรู้สึกไม่มั่นคงหลังจากการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเธอจนเอ่ยทั้งน้ำตาขณะรับรางวัลว่า “ถึงแฟนๆ ที่รักของฉัน ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ที่แม้ว่าฉันจะแต่งงานและกลายมาเป็นแม่คนแล้วก็ยังคงให้การสนับสนุนกันอย่างไม่มีเปลี่ยน” สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความยากลำบากที่เหล่าผู้หญิงต้องเผชิญกันอย่างกว้างขวาง นี่ยังไม่รวมถึงประเด็นที่คนดังบางคนถูกโจมตีอย่างหนักกับการออกมาเปิดเผยว่าตนเป็นเฟมินิสต์อีกด้วย

Women empower women

เพราะคนที่รู้ดีถึงสิ่งที่ผู้หญิงต้องเผชิญมากที่สุด ก็คือผู้หญิงด้วยกันเอง ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นผู้หญิงที่สามารถพิชิตกรอบแห่งเพศและก้าวขึ้นมามีอิทธิพลในวงการบันเทิงมากมายได้ใช้พื้นที่สื่อของเธอในการฉายแสงและมอบพลังให้แก่ผู้หญิงด้วยกัน ผ่านทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ บทเพลง และอีกหลากหลายมูฟเมนต์สุด empowering ซึ่งได้มีออกมาให้เราได้รู้สึกฮึกเหิมในใจและรู้สึกรักการเป็นผู้หญิงของตัวเองมากขึ้นในหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Taylor Swift กับการเรียกร้องเรื่องการคุกคามทางเพศและปลุกความกล้าหาญของผู้หญิงเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ให้ตน, Beyoncé กับหลากหลายอัลบั้มที่ผลักดันการโอบรับตัวเองและพลังของผู้หญิง, Madonna ที่ยืนกรานว่าอายุไม่ใช่ศัตรูตัวร้ายของผู้หญิงแต่อย่างใด หากแต่เป็นสายตาที่มองพวกเธออย่างไม่เท่าเทียมต่างหากที่บั่นทอนคุณค่า รวมไปถึง Demi Moore ผู้ใช้เวลากว่า 45 ปีในวงการในการคว้ารางวัลด้านการแสดงในที่สุด ซึ่งก็ได้เอ่ยสุนทรพจน์สุดซึ้งใจแด่เหล่าหญิงสาวผู้อาจกำลังไม่มั่นใจในตัวเองเพราะกรอบวัดค่าอยู่ว่า “ในช่วงเวลาที่เราคิดว่าเราไม่เก่งพอ ไม่สวยพอ หรือแค่คิดว่าเราไม่ดีพอ จงรู้ไว้ว่าเราจะไม่มีวันคิดว่าตัวเองดีพอ แต่เราจะรู้คุณค่าตัวเองได้ เพียงแค่คุณวางไม้บรรทัดวัดคุณค่าตัวเองลง” 

เช่นเดียวกับนักร้องสาวมหัศจรรย์ของเกาหลีอย่าง IU ผู้ใช้พื้นที่ในคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ กับการเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำแสดง ณ Seoul World Cup Stadium สเตเดี้ยมที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ที่สามารถจุผู้ชมได้กว่า 60,000 คนตลอด 2 รอบการแสดง ในการฉาย VCR ที่มีภาพของคนดังในวงการบันเทิงเกาหลีหลากรุ่นหลายวัย ไม่ว่าจะเป็น BLACKPINK, aespa, NewJeans, ITZY, จางนารา, กอมมี่, 2NE1, แพตตี้ คิม และอีกมากมาย ก่อนเริ่มเพลง Shh.. เพื่อยกย่องชื่อของพวกเธอที่ไม่ควรถูกลบให้เหลือเพียงตัวตนในฐานะ ‘แม่‘ ‘คนรัก‘ หรือ ‘ลูกสาว‘ ของใครเท่านั้น เพราะเราต่างเชื่อมโยงและล้วนมีความพิเศษในแบบของตัวเอง กลายเป็นอีกหนึ่งโชว์สุดอิมแพ็กที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ตลอดจนสาวๆ (G)I-DLE, ITZY และอีกหลากหลายวง ที่โดดเด่นด้วยการใช้ผลงานเพลงของพวกเธอส่งเสียงสู่สาวๆ ให้รักในตัวตนของพวกเธอเอง คุณค่าของผู้หญิงไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับการเป็นภรรยาหรือคนรักของใคร เพราะเราต่างเป็น ‘ซูเปอร์เลดี้’ ที่สวมมงกุฎได้ด้วยตัวของเราเอง

TEXT: Rathatip Khamnurak, Tikumporn Chaiyakote

Latest Posts

Don't Miss