เป็นเวลากว่า 5 ทศวรรษที่ชื่อของ Vivienne Westwood โลดแล่นอยู่ในวงการแฟชั่นจนชื่อนี้ได้สร้างตำนานหลายต่อหลายครั้งทั้งในแง่ของการเป็นแฟชั่นไอคอน นักเคลื่อนไหวประเด็นทางสังคม รวมไปถึงตำแหน่งควีนออฟพังก์ที่วงการดนตรียังต้องชื่นชม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เธอเป็นดั่งวีรสตรีในหลายวงการที่ใครๆ ต่างก็ยกย่องแม้ว่าเธอจะจากโลกนี้ไปแล้วในช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมา ดังนั้นเราจึงอยากจะพาคุณมาย้อนชม 5 เรื่องราวสุดพิเศษของ Vivienne Westwood ที่ทำให้โลกต้องจารึกชื่อเธอไว้ว่าเธอคือดีไซเนอร์หัวขบถแห่งโลกแฟชั่นอย่างแท้จริง
Queen of Punk
เราอาจกล่าวได้ว่าเธอคือดีไซเนอร์คนแรกที่นำแฟชั่นพังก์ซึ่งเต็มไปด้วยความนอกคอกและหัวขบถที่เคยอยู่ใต้ดินขึ้นมาเป็นแฟชั่นกระแสหลัก โดยแรกเริ่มเธอเปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสองเก่าๆ ไปพร้อมกับแผ่นเสียงวงร็อกในนาม Let It Rock ทว่าในเวลาต่อมาเมื่อกระแสวงร็อกค่อยๆ ซาลง พวกเขาก็ผันตัวมาเปิดร้าน Too Fast To Live, Too Young To Die ที่ขายเสื้อผ้าชุดหนังขวัญใจนักบิดมอเตอร์ไซค์และเสื้อผ้าขาดวิ่นสกรีนลายข้อความร้ายๆ และลามกเล็กๆ จนมาถึงยุค 80s ก็ผันเปลี่ยนมาขายเสื้อผ้าแฟชั่นอย่างเป็นทางการและเริ่มออกแบบเสื้อผ้าเพื่อร่วมมือกับวงการละครเวทีในชื่อร้านว่า World’s End และค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นร้าน SEX ที่เน้นขายเสื้อผ้าสไตล์เฟติชหรือที่เรียกว่าเสื้อผ้าเพื่อตอบสนองความหลงใหลในเรื่องเพศ

แต่สุดท้ายแล้วแฟชั่นที่มุทะลุของเธอก็มารวมเข้ากับวงการดนตรีจากคำเชิญชวนของลูกค้าประจำที่เป็นนักดนตรีสองคนนามว่า Paul Cook และ Steve Jones โดยพวกเขาเป็นคนก่อตั้งวงพังก์ร็อกที่กลายมาเป็นตำนานแห่งยุค 70s อย่างวง Sex Pistols ซึ่งเธอก็เข้ามาเป็นผู้ดูแลเรื่องคอสตูมของวงจนสไตล์การแต่งตัวของพวกเขากลายเป็นต้นฉบับให้กับวงพังก์ร็อกในยุคนั้นและยังมีอิทธิพลต่อวงร็อกยุคหลังเรื่อยมา

A True Icon of British Fashion
หลังจากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 อุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลกซบเซาลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อเวลาเดินทางมาถึงปี 1981 Vivienne Westwood เลือกที่จะชุบชีวิตให้กับวงการแฟชั่นในเกาะอังกฤษอีกครั้งด้วยคอลเล็กชั่นที่ได้แรงบันดาลใจจากโจรสลัดในชื่อ ‘Pirate’ ซึ่งคอลเล็กชั่นนี้จะเน้นนำเสนอเสื้อผ้าสีสันสดใสและมีความยูนิเซ็กซ์ในแบบที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน และผลตอบรับนั้นก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ เพราะแฟชั่นสไตล์นี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ในสังคมสมัยนั้น ผู้คนจึงให้ความสนใจกับคอลเล็กชั่นนี้กันอย่างล้นหลามนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเธอยังทำให้ผู้คนเห็นว่านอกจากที่เธอจะเป็นตัวแม่แฟชั่นสายพังก์ เธอก็สามารถออกแบบเสื้อผ้าสุดอลังการได้เช่นเดียวกัน เพราะหลังจากที่เธอกอบกู้อุตสาหกรรมแฟชั่นในลอนดอนเรียบร้อยแล้ว เธอก็มุ่งหน้าสู่ปารีสเพื่อนำเสนอเสื้อผ้าหรูหราที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแฟชั่นคนชนชั้นสูงจากศตวรรษที่ 18 รวมไปถึงเสื้อผ้าที่อินสไปร์มาจากศิลปะการแสดงละครเวทีและบัลเลต์ด้วย เธอจึงเปรียบเสมือนแฟชั่นไอคอนแห่งยุคเลยทีเดียว

Passionate Activist
Vivienne Westwood คือดีไซเนอร์ที่มีความสนใจในเรื่องการศึกษา ศิลปะวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เธอมักจะใช้คอลเล็กชั่นเสื้อผ้าและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญในการเรียกร้องประเด็นทางสังคมต่างๆ อยู่เสมอ ยิ่งโดยเฉพาะกับการเรียกร้องเรื่องความเท่าเทียม สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ รวมไปถึงเรื่องภาวะโลกร้อน ซึ่งเธอเป็นผู้ให้การสนับสนุนและร่วมแคมเปญ ‘Save The Arctic’ กับองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง Greenpeace ด้วยเช่นเดียวกัน
Vivienne มองว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นก่อให้เกิดมลภาวะในสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล แต่เธออยากเป็นดีไซเนอร์ที่พยายามจะแก้ไขปัญหานี้และร่วมผลักดันให้ผู้คนร่วมแก้ไขมันไปพร้อมกับเธอด้วย โดยเธอมีหลักคิดในการใช้ชีวิตอยู่ 3 อย่าง นั่นก็คือ ‘Reduce, Reuse, Recycle’ ซึ่งเธอทำสิ่งนี้ทั้งในชีวิตประจำวันและบนรันเวย์ เช่น เธอเรียกร้องให้ลักชัวรีแบรนด์ต่างๆ ลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาด บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนโครงการลดโลกร้อน ‘Cool Earth’ รณรงค์ไม่ให้ใช้ขนสัตว์หรือหนังสัตว์ในการผลิตสินค้า ในขณะเดียวกันเธอก็ตั้งใจที่จะออกแบบเสื้อผ้าให้มีความทันสมัยและไม่ตกยุคเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถนำเสื้อผ้ามาใส่ซ้ำๆ ได้เสมอ
Carrie Bradshaw’s Wedding Dress
หากคุณเคยชมซีรีส์ชุด Sex and The City (2008) ลุคไอคอนิกของตัวละคร Carrie Bradshaw คือลุคของเธอในชุดแต่งงานสีขาวพร้อมกับที่คาดผมขนนกสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ซึ่งออกแบบโดย Vivienne Westwood ผู้ชมทั่วโลกล้วนประทับใจชุดแต่งงานตัวนี้ เนื่องจากมันสามารถให้ความสง่างามแก่หญิงสาวในวันสำคัญของพวกเธอได้เป็นอย่างดี และภายหลังที่ชุดแต่งงานตัวนี้ปรากฏสู่สายตาชาวโลก มันก็กลายเป็นชุดแต่งงานในฝันของสาวๆ ไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ซีรีส์ภาคต่อของ Sex and The City อย่างเรื่อง And Just Like That…ก็เตรียมที่จะนำชุดแต่งงานชิ้นนี้กลับมาแสดงบนจออีกครั้งในซีซั่นที่กำลังจะมาถึง และเมื่อมีภาพจากกองถ่ายปล่อยออกมาแล้วก็สร้างความฮือฮาครั้งใหญ่บนโลกอินเตอร์เน็ตกันเลยทีเดียว ดังนั้นนี่จึงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแฟชั่นที่ Vivienne เป็นคนออกแบบนั้นมีความคลาสสิกและเป็นชิ้นงานสำคัญที่ต้องนำมาเสนอให้โลกเห็นอีกครั้งแม้เวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 13 ปีก็ตาม
Inspiration Behind Cruella’s Dress
เนื่องจากฉากเบื้องหลังของภาพยนตร์ Cruella เกิดขึ้นที่ลอนดอนในช่วงปี 1970s ซึ่งกำลังเป็นยุครุ่งเรืองของแฟชั่นพังก์อันได้รับอิทธิพลมาจากสไตล์ที่ Vivienne เป็นผู้ออกแบบ ดังนั้นคอสตูมใน Cruella จึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายความหัวขบถจากวงดนตรีพังก์ร็อก ไม่ว่าจะเป็นโทนเสื้อผ้าสีขาวดำแดง เสื้อผ้าขาดวิ่น สายโซ่ ไบค์เกอร์แจ็คเก็ต หรือรองเท้าบูตหนัง
นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง Cruella ยังได้รับรางวัลสาขาเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมจากเวทีประกาศรางวัลออสการ์ นี่จึงเป็นการตอกย้ำว่าแฟชั่นของ Vivienne Westwood คือต้นฉบับที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าดีไซเนอร์รุ่นหลังมาจนถึงปัจจุบัน และชื่อของเธอควรถูกจารึกไว้ในฐานะของผู้ทรงอิทธิพลด้านแฟชั่นไปตลอดกาล
Cover Photo Courtesy: westwoodmovie, viviennewestwood