ฤดูกาล Spring/Summer 2026 เป็นปีที่แฟชั่นวีกทั้งสี่เมืองใหญ่ นิวยอร์ก ลอนดอน มิลาน และปารีส กลายเป็นสนามทดลองและเวทีประกาศทิศทางใหม่ของวงการแฟชั่นโลก นิวยอร์กเปิดฉากด้วยโชว์ครบรอบ 10 ปีของ Brandon Maxwell และการกลับมาของ Alexander Wang ลอนดอนขยายพื้นที่ให้ดีไซเนอร์หน้าใหม่และย้ำจุดยืนความยั่งยืน มิลานสะท้อนพลังงานความหรูหราแบบอิตาเลียนผ่าน Gucci, Versace และ Bottega Veneta ในขณะที่ปารีสคือเวทีเปิดตัวครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนใหม่ทั้ง Jonathan Anderson ที่ Dior Matthieu Blazy ที่ Chanel และ Pierpaolo Piccioli ที่ Balenciaga ก่อนที่อีกไม่กี่วันสัปดาห์แฟชั่นจะเริ่มขึ้นแอลได้สรุปสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับฤดูกาล Spring/Summer 2026 มาให้คุณแล้ว

#1 NEW YORK (11th – 16th Sep 2025)
เรามาเปิดฤดูกาลกันที่ New York Fashion Week ซึ่งปีนี้ยังคงคึกคักไม่แพ้เดิม โดยเฉพาะการกลับมาของแบรนด์ดัง Alexander Wang ด้วยคอนเซ็ปต์ฉลองครบรอบ 20 ปี ขณะเดียวกันก็มีแบรนด์น้องใหม่ไฟแรงทยอยขึ้นเวทีให้จับตาไม่วางตา ในตารางโชว์และพรีเซนเทชั่นปีนี้มีมากกว่า 60 รายการ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 15 โชว์ พร้อมเวทีหลักและกิจกรรมพิเศษที่กระจายไปทั่วมหานครนิวยอร์ก ทำให้มหานครแห่งนี้ยังคงเป็นศูนย์กลางแฟชั่นที่น่าจับตามองไม่แพ้ใคร

THE HIGHLIGHTS:
- Brandon Maxwell เปิดฉาก ‘ก่อนเกม’ ด้วยโชว์ครบรอบ 10 ปี เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ก่อนตารางทางการเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
- Michael Kors เป็นผู้เปิดอย่างเป็นทางการของแฟชั่นวีกในวันที่ 11 กันยายน เวลา 11:00 น.
- ความคึกคักของดีไซเนอร์หน้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็น 6397, Amir Taghi, Dwarmis, Lii, Maria McManus, Nardos, Raúl Peñaranda, Rùadh และ SC103 ต่างถูกจับตามองอย่างมาก Nicholas Aburn จาก AREA อดีตดีไซเนอร์กูตูร์ของ Balenciaga เปิดคอลเล็กชั่นแรกในวันศุกร์ 12 กันยายน อีกทั้ง Veronica Leoni (Calvin Klein Collection) และ Frances Howie (Fforme) จะนำเสนอผลงานโซโล่ครั้งที่ 2
- Alexander Wang กลับเข้ามาสู่ตาราง New York Fashion Week หลังจากที่หายไปนานพร้อมคอนเซ็ปต์ฉลองครบรอบ 20 ปี
- รายชื่อแบรนด์หลักๆ ที่โดดเด่น ได้แก่ Altuzarra, Area, Calvin Klein Collection, KidSuper, Monse, Diotima, Tory Burch, Coach, Ulla Johnson, EKhaus Latta และแบรนด์ร่วมชาติอื่นๆ


#2 LONDON (18th – 22nd Sep 2025)
หลังจาก British Fashion Council ได้ Laura Weir มาเป็นซีอีโอคนใหม่ ดูเหมือนว่าอนาคตของซีนแฟชั่นในลอนดอนของแต่ละซีซั่นจะมีอะไรให้ชวนติดตามด้วยเช่นกัน แว่วว่าจะลดค่าธรรมเนียมให้แบรนด์ต่างๆ เพื่อดึงดูดให้มาโชว์ผลงานสร้างความคึกคักมากขึ้น และเพิ่มระยะเวลาการระดมทุนเพื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่ไปอีก 3 ปี คราวนี้หากไม่นับโชว์ของ Burberry หนึ่งในเมเจอร์แบรนด์ที่คนจับตามากที่สุดของลอนดอนแฟชั่นวีก มีจำนวนรันเวย์โชว์และพรีเซ็นเทชั่นเพิ่มขึ้นถึง 18%


THE HILIGHTS:
- H&M ประเดิมวันแรกด้วยโชว์ ‘The London Issue’ ที่เคลมว่าจะเป็นประสบการณ์ทางด้านแฟชั่นที่หลอมรวมวิชวลอาร์ต ดนตรี และบรรยากาศสุดแปลกใหม่
- JW Anderson และ British Fashion Council จะร่วมกันจัดงานดินเนอร์ในวันศุกร์ที่ 19 เพื่อเฉลิมฉลองให้กับรีแบรนดิ้งโดยเปลี่ยนสถานะจากแบรน์แฟชั่นให้ครอบคลุมทุกแง่มุมของไลฟ์สไตล์มากยิ่งขึ้น
- ด้วยขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งแฟชั่นเชิงทดลอง มีหน้าใหม่มาประเดิมรันเวย์ของที่นี่เช่นกัน อาทิ Oscar Ouyang บนพื้นที่ของ Newgen Catwalk Space, Talia Byre ที่ขออัพสเกลจากที่เคยจัดแค่พรีเซนเทชั่นในบรรยากาศชวนพูดคุย
- Fashion East โปรเจ็กต์ที่ไม่หวังผลกำไรในการสนับสนุนดีไซเนอร์ครบรอบ 25 ปี โดยมีชื่อผู้ได้รับการซัพพอร์ตมาแล้วมากมายอย่าง JW Anderson, Gareth Pugh, Jonathan Saunders, Roksanda Ilincic, Richard Nicoll, House of Holland, Cassette Playa, Christopher Shannon, Nasir Mazhar, Martine Rose, Marques’Almeida, Claire Barrow, Charles Jeffrey และ Craig Green ไม่แน่ว่าจะมีอะไรให้ชวนตื่นเต้น ส่วนแบรนด์ Erdem และ Roksanda ก็เตรียมโทสต์แก้วแชมเปญในโอกาสครบรอบปีที่ 20
- คราวนี้คือการกลับมายังตารางโชว์อีกครั้งของ Chopova Lowena, Dilara Findikoglu และ Conner Ives แม้ด้วยการทำการตลาดของแบรนด์เหล่านี้ขยายไปไกลแล้ว แต่พวกเขายังเชื่อในขุมพลังแห่งไอเดียที่ลอนดอนพร้อมจะมอบให้อยู่เสมอ

#3 MILAN (23rd Sep – 29th Oct 2025)
Milan fashion week คือสนามที่สะท้อนพลังของแฟชั่นอิตาเลียนอย่างแท้จริง ทั้งความหรูหรา ความเป็นงานฝีมือ และความร่วมสมัยที่ผสมกันอย่างลงตัว ในฤดูกาลนี้มีทั้ง 55 โชว์บนรันเวย์จริง และ 4 โชว์ดิจิทัล มิลานจึงกลายเป็นจุดรวมสายตาที่ใครก็อยากมาเห็นกับตา สิ่งที่น่าจับตาคือการคัมแบ็กของบิ๊กเนมที่กำลังปรับทิศทางแบรนด์ใหม่หลังการเปลี่ยนครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ หลายแบรนด์ในมิลานก็อยู่ในช่วงปรับบทใหม่ของตัวเอง บางแบรนด์ใช้โอกาสนี้ย้ำจุดยืนในเรื่องความหรูหราดั้งเดิม บางแบรนด์กลับเลือกหันไปสู่ความยั่งยืน และเทคโนโลยี


THE HIGHLIGHTS:
- เดบิวต์ครั้งสำคัญของ Gucci ภายใต้การคุมทัพของ Demna คือบิ๊กเวฟที่ทุกคนรอคอย การนำเอาสไตล์เสียดสีและพลังสร้างสรรค์ของเขามาผสานกับมรดก Gucci จะทำให้เห็นทิศทางใหม่ของแฟชั่นโลกได้อย่างชัดเจน
- Versace ปรับกลยุทธ์จากโชว์ยักษ์เป็นพรีเซนเทชั่นที่ใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวมากขึ้น เป็นการกลับไปสู่รากของงานฝีมือแบบอิตาเลียน
- Dolce & Gabbana นำเสนอธีม ‘Wrinkled Romance’ สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของความหรูหราผ่านชุดนอนและลุคที่ผสมผสาน everyday wear กับความพรีเมียมได้อย่างมีเสน่ห์
- Prada ภายใต้การนำของ Miuccia Prada และ Raf Simons ยังคงเป็นตัวตั้งตัวตีของเทรนด์ ‘no-pants’ ที่ผสมความมินิมัลแบบฟอร์มอลเข้ากับความสบาย
- Emporio Armani โชว์ความหรูอย่างเงียบๆ ผ่านลายโมเสก ผ้าไหม และเลเยอร์เรียบหรู ในปีที่แบรนด์ใหญ่ในเครืออย่าง Giorgio Armani ฉลองครบรอบ 50 ปี แม้เจ้าตัวจะไม่ได้มาร่วมชมด้วยตัวเองแต่ยังคงคุมทุกดีเทลอยู่เบื้องหลัง
- Paul Smith ใช้แรงบันดาลใจจากภาพถ่ายการเดินทางส่วนตัวมาสร้างลุคแบบ scrapbook อบอุ่นและย้อนยุค
- Miguel Vieira กับคอลเล็กชั่น ‘A Night in the Garden’ ที่นำความดาร์กผสมดอกไม้คริสตัลและหนังอย่างสง่างาม
- Qasimi ฉลองครบรอบ 10 ปี ด้วยการโชว์เสื้อผ้าโมดูลาร์ เลเยอร์ และวัสดุ ‘memory nylon’ ที่เล่าเรื่องรากเหง้าวัฒนธรรม
- นอกจากบิ๊กเนมแล้ว มิลานยังเต็มไปด้วยแบรนด์หน้าใหม่และครีเอทีฟหน้าใหม่ที่เข้ามาในตารางโชว์ครั้งแรก สะท้อนให้เห็นว่าเมืองนี้ยังคงเป็นเวทีที่เปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่ได้แจ้งเกิด


#4 PARIS (29th Sep – 7th Oct 2025)
ปิดท้ายเทศกาลของ Paris fashion week ซึ่งถ้าเปรียบเป็นสนามมวยก็เต็มไปด้วยคู่ชกระดับเฮฟวี่เวทที่ไม่มีใครยอมใคร ทั้ง 76 โชว์ และ 36 พรีเซนเทชั่น คละเคล้าไปด้วยหน้าเก่าและหน้าใหม่ สอดแทรกไปด้วยหลากหลายแบรนด์น่าจับตาเพราะผ่านการละเล่นเก้าอี้ดนตรีเพื่อหาครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์มาแทนที่คนเดิม และพร้อมจะอวดผลงานให้เห็นกันในครั้งนี้

THE HILIGHTS:
- บิ๊กเวฟที่อาจเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของโลกแฟชั่นยุคใหม่ไปตลอดกาล เพิ่มดีกรีความน่าสนใจไปตลอดต้นเดือนตุลาคม Jonathan Anderson ที่เผยสไตล์และมุมมองประเดิมที่โชว์คอลเล็กชั่นบุรุษและเทศกาลภาพยนตร์ทั้งเวนิซและโตรอนโตไปแล้ว คราวนี้คอลเล็กชั่นจัดเต็มของฝั่งสตรีจาก Dior (1 ต.ค.) จะเป็นอย่างไรกันบ้าง, Miguel Castro Freitas ที่ Mugler (2 ต.ค.), Jack McCollough และ Lazaro Hernandez ที่ Loewe (3 ต.ค.), Glenn Martens ที่ Maison Margiela และ Pierpaolo Piccioli ที่ Balenciaga (4 ต.ค.), Duran Lantink รังสรรค์คอลเล็กชั่นเรดี้-ทู-แวร์แรกในรอบศตวรรษที่ Jean Paul Gaultier (5 ต.ค.) ปิดท้ายอย่างเร้าใจกับ Matthieu Blazy ที่ Chanel (6 ต.ค.) บุคคลที่ Tony Delcampe อดีตอาจารย์ของเขาสมัยเรียน École Nationale Supérieure des Arts Visuels de la Cambre ที่บรัสเซลส์เอ่ยปากถึงว่า “เขาเป็นเด็กจากปารีสที่มีพื้นเพทางครอบครัวดี ล้วนต่างมีความรู้ เขาสนใจทางด้านแฟชั่นเร็ว เริ่มเก็บสะสมเสื้อผ้าทุกประเภทจนมีเป็นพันๆ ชิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อเอาไว้ศึกษา ดูโครงสร้าง”
- อีกหลายแบรนด์เดินทางมาสู่คอลเล็กชั่นที่ 2 ของการใช้ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์รายใหม่ นี่จะเป็นโอกาสให้คอแฟชั่นผู้ติดตามได้เห็นทิศทางของแบรนด์ที่เด่นชัดยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Haider Ackermann กับ Tom Ford, Sarah Burton ที่ Givenchy และ Michael Rider ที่ขอพา Celine กลับสู่ตารางโชว์อีกครั้งดีเดย์เที่ยงตรงของวันที่ 5 ต.ค.
- Ganni หลังจากวางจำหน่ายในปารีสมาสักพักแล้วคราวนี้ขอเริ่มทำพรีเซนเทชั่นครั้งแรกสักที ทั้งยังมีแบรนด์น้องใหม่มาทำโชว์ครั้งแรกด้วย ได้แก่ Julie Kegels และ Façon Jacmin
- บรรดาดีไซเนอร์เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ผู้เคยซิวรางวัล LVMH Prize ก็ต่างน่าติดตาม ไม่ว่าจะเป็น Hodakova, Niccolò Pasqualetti, Vaquera และรายหลังอย่าง Meryll Rogge ที่เพิ่งเข้ารับหน้าที่กุมบังเหียน Marni ไปหมาดๆ


#5 The Season That Changed Fashion
ปีนี้แฟชั่นวีกทั้ง 4 เมืองไม่ใช่แค่การอวดโฉมคอลเล็กชั่นใหม่ แต่คือเวทีประลองวิสัยทัศน์ครั้งใหญ่ที่สะท้อน ‘การเปลี่ยนขั้ว’ ของวงการแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่ Dior ที่ Jonathan Anderson เตรียมเผยคอลเล็กชั่นของผู้หญิงเต็มรูป, Balenciaga และ Jean Paul Gaultier ที่พร้อมเขย่าทิศทางแบรนด์ ไปจนถึงการกลับมาของ Celine ภายใต้ Michael Rider และกองทัพดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่เคยคว้า LVMH Prize อย่าง Hodakova หรือ Meryll Rogge ที่เข้ามากุมบังเหียน Marni ทุกโชว์จึงไม่ใช่แค่รันเวย์ แต่เป็นการรีเซ็ตดีเอ็นเอของแบรนด์ให้เห็นกันสดๆ ว่าทศวรรษต่อไปของแฟชั่นโลกจะเดินไปทางไหน และนี่คือสิ่งที่แฟนแฟชั่นต้องตามแบบเรียลไทม์เพื่อไม่ให้พลาดจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์


TEXT: Wansuk K, Thanayut Wanametin

