Thursday, November 6, 2025

รวม 5 โมเมนต์น่าจดจำที่สร้างปราฎการณ์ไปทั่วโลกของ Balmain ในยุค Olivier Rousteing

เมื่อ Olivier Rousteing เข้ารับตำแหน่งครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของ Balmain ในปี 2011 ด้วยอายุเพียง 25 ปี เขาไม่ได้แค่เปลี่ยนโฉมแบรนด์แฟชั่นลักชัวรี่จากปารีสเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแปรสำคัญในยุคที่แฟชั่น ‘หรูหรา’ เริ่มผสานกับวัฒนธรรมป๊อป ดิจิทัล และพลังของโซเชียลมีเดีย การประกาศลาออกของเขาหลังร่วมขับเคลื่อนแบรนด์กว่า 14 ปี ถือเป็นการปิดฉากยุคสำคัญของแฟชั่นโลก หนึ่งในบทบาทผู้นำด้านดีไซน์ที่ทรงอิทธิพลและถูกจับตามองมากที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 และนี่คือ 5 เหตุผลว่าทำไมยุคของเขาถึงกลายเป็นตำนาน

#1 From Young Designer to Luxury Game-Changer

Olivier Rousteing เกิดในเมืองบอร์โดซ์ ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1985 และได้รับการอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก เขาย้ายไปเรียนด้านแฟชั่นที่ ESMOD ปารีส และในปี 2009 เขาเริ่มทำงานที่ Balmain เพียงสองปีต่อมาในเดือนเมษายน 2011 เขากลายเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของแบรนด์ ความน่าสนใจอยู่ที่เขาขึ้นตำแหน่งในวัยเยาว์และเป็นดีไซเนอร์ผิวดำในแบรนด์แฟชั่นชั้นสูงของฝรั่งเศส ซึ่งยังเกิดไม่บ่อยในยุคนั้น Olivier เองเคยบอกว่า การก้าวขึ้นมาเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ในวัย 25 ปีสร้างทั้งความท้าทายและความกดดัน แต่เขากลับใช้ความกล้าและวิสัยทัศน์ของตัวเองเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างของแบรนด์ให้ทันสมัย โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การออกแบบเสื้อผ้า แต่รวมถึงภาพลักษณ์ การตลาด และวัฒนธรรมของ Balmain ภายในเวลาไม่นานเขาสามารถพลิกยอดขายของแบรนด์ให้เติบโตอย่างมีนัยยะ จุดเริ่มต้นของเขาจึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนคนออกแบบ แต่เป็นการเปลี่ยนทั้งโครงสร้างและจิตวิญญาณของแบรนด์

#2 New DNA and The Balmain Army

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ยุค Olivier Rousteing ถูกจดจำคือการสร้าง DNA ใหม่ให้กับแบรนด์ ความหรูหราแบบลักชัวรี่ยังคงเป็นพื้นฐาน แต่เขาเพิ่มรายละเอียดและซิกเนเจอร์ที่ชัดเจน เช่น โครงสร้างไหล่แข็งแรง (power shoulders) ผสมเลื่อม ปักลูกปัด โลหะ และทรงเสื้อที่เน้นรูปร่างผู้หญิงให้ทรงพลัง แต่สิ่งที่ทำให้ยุคของเขาแตกต่างคือการสร้างปรากฏการณ์ Balmain Army ซึ่งเป็นกลุ่มโมเดล เซเลบริตี้ และคนดังที่ร่วมงานกับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง การเดินรันเวย์ของแบรนด์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนที่ชอบแฟชั่น แต่กลายเป็นโชว์ที่ผู้คนรอชมและแชร์บนโลกออนไลน์ ตัวอย่างเด่นคือคอลเล็กชั่น Fall/Winter 2014 ที่นำโมเดลมากหน้าหลายตาในชุดโครงสร้างทองและเลื่อม ซึ่งกลายเป็นภาพจำของยุค 2010s และเป็นจุดกำเนิดของ Balmain Army อย่างแท้จริง

#3 Moments of Transformation

Olivier Rousteing ยังเป็นดีไซเนอร์ที่เข้าใจการขยายแฟชั่นลักชัวรี่สู่ผู้ชมวงกว้าง หนึ่งในโมเมนต์สำคัญคือการร่วมมือกับ H&M ในปี 2015 คอลเล็กชั่นนี้มีชิ้นกว่า 109 ชิ้นที่ยังคงสไตล์ Balmain แต่ราคาจับต้องได้ ทำให้แฟชั่นลักชัวรี่เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้นและขายหมดภายในเวลาอันสั้น นอกจากนี้ Olivier ยังใช้โซเชียลมีเดียอย่างหนักจนกลายเป็น ‘Instagram Designer’ ที่แชร์ทั้งภาพโชว์ เบื้องหลัง กระบวนการทำงาน ชีวิตส่วนตัว และเชิญผู้ติดตามให้สัมผัสแฟชั่นอย่างใกล้ชิด เขาไม่ได้สร้างแค่เสื้อผ้า แต่สร้างปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมและแบรนด์ให้มีชีวิต

ผลงานคอลแลบอื่นๆ ของเขาก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เช่น การร่วมมือกับ Puma ในปี 2018 และการร่วมงานกับ L’Oréal ในโปรเจกต์ความงาม ทำให้แฟนๆ หรือแม้การคอลแลบกับ Barbie ทำให้แบรนด์ได้สัมผัสมากกว่าแค่เสื้อผ้า คอลแลบเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องธุรกิจ แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้ Balmain แฟชั่นลักชัวรี่สามารถสนุก เข้าถึงง่าย และกลายเป็นไวรัลพร้อมกัน

#4 Iconic Looks and Viral Moments

ยุค Olivier Rousteing เต็มไปด้วยผลงานแฟชั่นที่กลายเป็นสัญลักษณ์และวัฒนธรรมป๊อป หนึ่งในโมเมนต์ที่ใครหลายคนจดจำคือชุด Balmain ที่ Beyoncé ใส่ในงาน Coachella 2018 ชุดนี้ไม่ใช่แค่ชุดโชว์ แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของพลังหญิง ผู้หญิงผิวดำ และการแสดงออกของผู้หญิงมีอำนาจในโลกแฟชั่น อีกทั้งยังมี Kim Kardashian และ Kendall Jenner ในโชว์ของ Balmain ทำให้ทุกโพสต์บนโซเชียลกลายเป็นไวรัล ไม่เว้นแม้แต่ Tyla ที่ใส่ชุดทรายสำหรับ Met Gala 2024 ซึ่ง Olivier มีส่วนออกแบบ โดยชุดนี้สร้างกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ทันที

#5 The Best Runways

รันเวย์ในยุค Olivier ไม่ใช่แค่โชว์เสื้อผ้า แต่กลายเป็นประสบการณ์ multisensory ที่ผู้ชมจดจำไปอีกหลายปี เช่น โชว์ครบรอบ 10 ปี Balmain ในปี 2025 ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมถึง 6,000 คน แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานแฟชั่นและคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบ การยืนหยัดด้าน inclusivity และ diversity ด้วยการใช้โมเดลหลายเชื้อชาติ ถ่ายทอดเรื่องราวของชายผิวดำที่นำแบรนด์ฝรั่งเศสระดับตำนานให้ทันสมัย โชว์ Spring/Summer 2026 ซึ่งจัดในสถานที่เดียวกับโชว์เดบิวต์ของเขาที่ InterContinental Paris Le Grand นำซิกเนเจอร์ของแบรนด์ งานฝีมือ couture และวัสดุใหม่ๆ ผสานแรงบันดาลใจจากทะเลเชลล์และโบฮีเมียน แสดงให้เห็นว่าแฟชั่นของเขาไม่ใช่แค่สวย แต่มีเรื่องราว มีแรงบันดาลใจ และมีวัฒนธรรม

รันเวย์สำคัญอื่นๆ ที่ยังถูกจดจำได้แก่ Fall/Winter 2014 The Birth of Balmain Army ที่โมเดลซูเปอร์สตาร์และเซเลบริตี้เดินเต็มรันเวย์ Spring/Summer 2016 Futuristic Baroque การผสมผสานความหรูแบบ Baroque กับวัสดุเมทัลลิก ผสานการออกแบบที่คมชัดและชุดลวดลายซับซ้อน

Latest Posts

Don't Miss