แฟชั่นดีไซเนอร์ผู้หญิงเต็มแบรนด์ตัวท็อปไปหมด แต่ถึงกระนั้น ทำไมนั่นยังคง ‘ไม่มากพอ’ และต้องรอจนถึงปี 2046 จึงจะ ‘เริ่ม’ ได้เห็นความเท่าเทียม
28.5% Females
ในปี 2023 แบรนด์ลักชัวรี 30 อันดับแรกมีครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์แค่ 8 คน ต่อมาในปี 2025 จาก 35 แบรนด์ใหญ่มีผู้หญิงเพิ่มขึ้นเป็น 10 คน หรือเพิ่มขึ้นมา 28.5% เลยเชียว ไม่ว่าจะเป็นความไร้ฤดูกาลที่ใส่ได้ตลอดกาลนานของ Phoebe Philo, แฝด Olsens ที่ The Row และ Rei Kawakubo ที่สร้างสถิติเป็นเบอร์หนึ่ง 55 ปีที่ Comme des Garçons

และรอชมกันให้ดีกับมูฟใหม่ดอนน่า Maria Grazia Chiuri หลังยุค Dior ซึ่งได้งานต่อทันทีที่ Fendi บ้านเก่าสมัยเป็นทีมแอ็กเซสเซอรีส์ที่ร่วมพัฒนา it bag ใบแรกของโลกอย่าง Baguette เมื่อปี 1989 และในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 เราจะได้รับชมการปล่อยของที่แบรนด์อิตาลีอีกครั้งในรอบหนึ่งทศวรรษของเธอ รวมทั้งเป็นครั้งแรกในรอบ 188 ปีที่ Hermès มีผู้หญิงผิวสีเป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์จากการแต่งตั้ง Grace Wales Bonner วัย 35 ปีในแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษ เกรซเป็นหนึ่งในศิษย์สำนัก Central Saint Martins ที่ยังทันได้รับการปลุกเสกจาก Louise Wilson อาจารย์ปากx@!% ผู้ปั้นยอดฝีมือมานักต่อนัก อาทิ Alexander McQueen (ซึ่งตัดผมตัวเองเย็บติดกับป้ายแบรนด์ไปส่งครู) และ Hussein Chalayan (ซึ่งเอาชุดไปฝังดิน 1 ปีแล้วขุดไปส่งครู)

หลังจากทีสิสจบการศึกษาในปี 2014 คนในวงการแฟชั่นพยากรณ์กันล่วงหน้ามานานแล้วว่า เกรซต้องโดนจีบให้ไปอยู่แบรนด์ใหญ่สักแบรนด์ในสักวันหนึ่งแน่นอน และนั่นคือวันนี้…ที่เกรซต้องรับงานใหญ่ให้รายได้ที่เติบโตขึ้น 15% ของ Hermès สวนทางขาลงของแบรนด์ลักชัวรีอื่นๆ – อย่างน้อยไม่ลดลง อย่างมากให้เพิ่มขึ้น
Hers is More Popular
ใน Fall/Winter 2025 แบรนด์ที่มีหัวเรือเป็นผู้หญิงเป็นที่โจษจันมากกว่าแบรนด์ที่มีครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ผู้ชายถึง 51% ไม่ว่าจะเป็น Sarah Burton ที่ Givenchy, Chemena Kamali ที่ Chloé, Veronica Leoni กับภารกิจพาเรดี้ทูแวร์คืนรันเวย์ให้กับ Calvin Klein และ Miuccia Prada ที่เชื่อขนมกินได้ว่าเธอจะ ‘deliver’ คอลเล็กชั่นไม่ตามแต่สร้างเทรนด์ใหม่ได้เสมอซึ่งทำให้ Prada และ Miu Miu ยืนหยัดสุดสตรองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ส่วน Victoria Beckham, The Row และ Stella McCartney ก้าวข้ามความเป็นแบรนด์(ลูก)คนดังที่พิสูจน์ด้วยสไตล์ชัดเจน ขณะที่ Nadège Vanhee ทำให้ Hermès อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจาก Quiet Luxury (ที่น่าเบื่อในสายตาเธอจากการให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับ Wall Street Journal) ไปเป็น Quiet Sensuality ที่เย้ายวนได้อีกในทุกคอลเล็กชั่น

She’s Not a Working Woman
Tory Burch ซึ่งสร้างแบรนด์แฟชั่นที่โกยรายได้ 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เล่าว่าเคยไปงานสัมมนาธุรกิจ และพิธีกรแนะนำเธอว่าเป็น “ซีอีโอหญิง” (ซึ่งปัจจุบันทอรีดำรงตำแหน่ง CCO หรือประธานฝ่ายสร้างสรรค์)
แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีคำว่า ผู้ชายทำงาน (working man, working dad) เพราะเหมือนสังคมรับรู้โดยทั่วกันว่า ผู้ชายต้องทำงานอยู่แล้วสิ ขณะที่ผู้หญิงเป็นภรรยา แม่หรือแม่บ้าน (housewife) ที่อาจทำหรืออาจจะไม่ทำงานก็ได้ ฉะนั้น หากผู้หญิงคนไหนหารายได้เองจึงเป็นเรื่องพิเศษผิดแผกเสียจนต้องใส่สร้อยให้พวกเธอว่า ผู้หญิงทำงาน (working woman, working mum) ซีอีโอหญิง ดีไซเนอร์หญิง ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์หญิง

Merit-based Hiring vs. Gender Quota
ในโรงเรียนแฟชั่นชั้นนำทั่วโลก นักเรียนมากถึง 70% ระบุเพศตนเองว่าเป็นหญิง และผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ทำงานในอุตสาหกรรมแฟชั่น แต่มีแค่ 28.5% เท่านั้นใน 35 แบรนด์ระดับท็อปที่เป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ และในบรรดา 75 แบรนด์ในเครือ LVMH มีผู้บริหารระดับสูงที่เป็นผู้หญิง 7 คนเท่านั้น เช่น Charlotte Coupé ซีอีโอ Kenzo, Delphine Arnault และ Benedetta Petruzzo ประธาน ซีอีโอและเอ็มดีที่ Christian Dior Couture และ Pascale Lepoivre ซีอีโอ Loewe เป็นต้น

การจ้างงานในอุดมคติแท้จริงคือ เลือกคนที่เหมาะสมจากความสามารถ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะเป็นเพศอะไร แต่ออกจากทุ่งลาเวนเดอร์แป๊บ แล้วฟัง Harriet Harman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสตรีคนแรกของสหราชอาณาจักรเมื่อปี 1997 เคยฟันธงว่า สาเหตุพื้นที่ทำงานของผู้หญิงช่างน้อยนิดมหาศาลเป็นเพราะ “การกีดกันทางเพศที่ฝังอยู่ในสถาบันทางสังคม”
เรื่องนี้ฝังรากลึกมายาวนานกว่าการล่าแม่มดในยุคกลาง การโดนกดทับของลัทธิเพเกินซึ่งบูชาพลังของเทพธิดาในยุคโรมันเรืองอำนาจ ทว่าเริ่มมาตั้งแต่โฮโมเซเปียนซึ่งก็คือมนุษย์ในยุคปัจจุบันเรียนรู้ที่จะสั่งสมทรัพยากรมีค่าไปแลกเปลี่ยนกัน เช่น ขนนก หนังสัตว์
ผู้หญิงซึ่งเคยเป็นที่บูชาในฐานะผู้ฟูมฟักลูกอันเป็นหน้าที่สำคัญที่สุดในการสืบสายโซ่ทางวิวัฒนาการ จึงถูกลดบทบาทลงไปกลายเป็นคนอยู่เหย้าเฝ้าเรือน ส่วนผู้ชายที่เคยเป็นเพียงมดงานหรือผึ้งงานโนเนมได้ทวีบทบาทขึ้นเป็นตัวหัวหน้าหาเลี้ยงครอบครัว นั่นเองที่สังคมสลักบทบาทของชายไว้ที่การทำงาน และหญิงไว้ที่การทำงานหลังบ้าน

ในหลายสังคมยังมองว่า ในความสามาถที่ทัดเทียมกันหรือแม้ผู้หญิงอาจเก่งกว่าด้วยซ้ำ แต่เลือกจ้างผู้ชายดีกว่า เพราะดีไม่ดีผู้หญิงอาจลาออกไปแต่งงาน ลาคลอด ลาไปรับลูก ลาหยุดเพราะลูกไม่สบาย ลาเพราะไปงานโรงเรียนลูก ลาเพราะปวดประจำเดือน ลาเพราะฮอร์โมนป่วน ฯลฯ มิเช่นนั้น ฟีบี ฟีโลคงไม่เป็นข่าวแค่เพราะเธอลาคลอดในปี 2005 เป็นแน่
ในทางกลับกัน หากผู้หญิงเป็นโสด พวกเธอจะโดนสุมงานเข้าใส่มากกว่าปกติ เพราะคิดว่า “เป็นโสดก็คงจะทำงานได้เต็มที่” นี่คือคำพูดของผู้นำเพศชายในประเทศหนึ่ง ซึ่งอนุมานว่าผู้หญิงโสดไม่มีภาระทางครอบครัวที่ต้องดูแล…จริงรึ?
Women in Power
ไม่เฉพาะในแวดวงแฟชั่น แต่เป็นเกือบทุกวงการ จากการเมือง ราชการ ไปจนถึงเชฟ หลายประเทศ เช่น ไอซ์แลนด์ สวีเดน ญี่ปุ่น ซึ่งไม่ใช่แค่ส่งเสริม แต่ทำให้การจ้างงานผู้หญิงมากขึ้นกลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ เช่น เมื่อปี 2013 ในยุคชินโสะ อาเบะที่เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นรอบสองเปิดตัวกลยุทธ์กระตุ้นเศรษฐกิจ ‘Womenomics’ ที่ช่วยดึงผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น 73% เมื่อนับจนถึงปี 2020 และหากผู้หญิงถูกจ้างงานในอัตราเทียบเท่ากับผู้ชาย จีดีพีของญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นถึง 16% เลยทีเดียว
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่าผู้หญิงมีทักษะในการทำงานที่ดี เช่น งานวิจัยของ Jack Zenger และ Joseph Folkman ที่ปรึกษาด้านผู้นำองค์กรในปี 2019 พบว่าผู้หญิงทำคะแนนทักษะผู้นำเหนือกว่าผู้ชาย 17 จากทั้งหมด 19 ข้อ ทั้งฮาร์ดสกิลและซอฟต์สกิล เช่น ตัดสินใจเฉียบขาดและกล้ากว่าผู้ชาย ตั้งเป้าหมายและสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนอยากทำงาน สร้างทีมเวิร์กที่ดี รับฟังความคิดเห็นของทีม ฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้ดีกว่า ไปจนถึงใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของคนทำงานมากกว่า


ตัวอย่างเด่นชัดเช่น ดีไซเนอร์ระดับผู้ช่วยที่ก้าวไปเป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ในยุคนี้ หากดูเรซูเมของพวกเขาและเธอจะเจอประโยคที่เพิ่มความเก่งกาจน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น 99% ที่ว่า “เคยฝึกงาน/เคยทำงานในทีมฟีบี ฟีโล” หรือเรียกได้ว่าจบการศึกษาจาก ‘Philo School’ กันเป็นแถว จาก Daniel Lee จาก Burberry, Michael Rider แห่ง Celine, Matthieu Blazy ที่ Chanel, นาแดจ วองเนที่ Hermès จนถึงเชเมนา คามาลีที่ Chloé

‘Women in the Workplace’ การศึกษาผู้หญิงในพื้นที่ทำงานที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาซึ่งทำต่อเนื่องมา 10 ปี สำรวจบริษัทมากกว่า 1,000 แห่ง และคนทำงานผู้หญิงกว่า 480,000 รายสรุปว่า โอกาสของผู้หญิงที่จะก้าวหน้าในที่ทำงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา แต่ในอัตราที่กว่าจะไปถึงจุดที่เท่าเทียมกับผู้ชาย สำหรับผู้หญิงผิวขาวจะใช้เวลา 22 ปี ส่วนผู้หญิงผิวสีต้องใช้เวลา 48 ปี จึงคาดการณ์ว่าราวๆ ปี 2046 ความเท่าเทียมในพื้นที่ทำงานจะเริ่มบังเกิดและจะไปสมบูรณ์ในปี 2072 รอหน่อยน้า…
ผลการศึกษาชิ้นนี้แนะนำว่า สถาบันการศึกษา/แบรนด์/บริษัทต้องทำให้ความหลากหลายเป็นนโยบาย มีโปรแกรมฝึกอบรมเพิ่มทักษะในด้านต่างๆ มอบทุนสนับสนุนให้ผู้หญิงเปิดธุรกิจของตัวเอง โปรโมตผู้หญิงให้ผู้หญิงได้ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าเพื่อให้เกิดแบบอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจ ไปจนถึงการปรับเงินเดือนในตำแหน่งที่เท่ากันของผู้หญิงและผู้ชายให้เท่ากัน ก่อนจะไปถึงวันที่วัดกันที่ความสามารถล้วนๆ วงการแฟชั่นอาจจะต้องจัดสรรโควตาการจ้างงานโดยมีเพศเป็นเกณฑ์…หรือไม่ เมื่อวันนั้นมาถึง เราอาจจะไม่ได้เห็นภาพนี้
Text: Suphakdipa Poolsap

