ความมหัศจรรย์ของนาฬิกานั้น นอกเหนือไปจากความเที่ยงตรงของการแสดงเวลาแล้ว ก็ยังต้องนับรวมไปถึงความสามารถในการหลอมรวมไว้ภายในเรือนเวลาเล็กๆ ด้วยความเชี่ยวชาญด้านงานออกแบบ ทักษะแห่งช่างฝีมือ และเทคนิคเชิงช่างนาฬิกา และนั่นคือหัวใจที่ CHANEL ได้ถ่ายทอดไว้ในผลงานเรือนเวลารุ่นต่างๆ ซึ่งล้วนขับเคลื่อนด้วยกลไกจักรกลอันเป็นผลิตผลจากการคิดค้น พัฒนา และสร้างสรรค์นวัตกรรมขึ้นภายใต้หลังคาเดียวกันของโรงงานการผลิตนาฬิกาและศูนย์การผลิตนาฬิกา CHANEL Watch Manufacture ในเมือง La Chaux-de-Fonds ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
จากสตูดิโอสร้างสรรค์ ณ ปลาซ ว็องโดม กรุงปารีส ภายใต้การดูแลของ Arnaud Chastaingt แต่ละแนวคิดของการรังสรรค์เรือนเวลาได้ถูกต่อยอดมาสู่เส้นทางการผลิตและการคิดค้นหัวใจของกลไกจักรกลที่เกิดขึ้นภายในห้องปฏิบัติการนาฬิกาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยนับตั้งแต่การออกแบบครั้งแรกจวบจนการตรวจสอบคุณภาพในขั้นตอนสุดท้าย นาฬิกา CHANEL รุ่นใหม่ๆ ล้วนเกิดจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอนระหว่างนักออกแบบสร้างสรรค์จากสตูดิโอ ณ กรุงปารีส ช่างฝีมือหลากหลายแขนง และช่างนาฬิกาสวิสผู้เชี่ยวชาญ กระทั่งได้มาเป็นผลงานที่มีความสมดุลทั้งทางด้านงานดีไซน์ สุนทรียะความสวยงาม ซึ่งบรรจบกับฟังก์ชัน และความเที่ยงตรงแม่นยำได้อย่างกลมกลืนอย่างที่เราเห็นและสัมผัสได้จากผลงานนาฬิกา CHANEL
Monsieur Superleggera Intense Black Edition
เหมือนกับผลิตผลของกลไก Caliber 1 ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 โดยออกแบบและพัฒนามาสำหรับนาฬิกา Monsieur ซึ่งเป็นนาฬิกาสำหรับผู้ชายเรือนแรกของเมซง โดยมีความโดดเด่นจากการผสมผสานกลไก 2 แบบเข้าด้วยกัน ทั้งระบบแสดงเวลาแบบ Instant Jumping Hour ผ่านช่องหน้าต่างที่ 6 นาฬิกา และระบบ 240° Retrograde Minute บนหน้าปัด 240 องศาด้านบน ซ้อนด้วยหน้าปัดเล็กแสดงวินาที ณ ศูนย์กลางของหน้าปัดนาฬิกา ผลงานนี้นับเป็นการประกาศถึงความชำนาญด้านการสร้างสรรค์นาฬิกาด้วยดีไซน์ที่คงความเป็นต้นตำรับของเมซง ซึ่งสามารถผสมผสานได้อย่างกลมกลืนเข้ากับความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิคจักรกลอันซับซ้อนของ CHANEL Watch Manufacture โดยไม่ได้เป็นเพียงกลไกแสดงเวลาแบบเรียบง่ายเท่านั้น และจากกลไก Caliber 1 นี้ ในปีนี้ CHANEL ยังได้นำมาใช้ขับเคลื่อนภายในนาฬิการูปโฉมใหม่ อย่าง Monsieur Superleggera Intense Black Edition ที่ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 100 เรือนด้วย
Caliber 2
Caliber 2.1
ในแง่ความสวยงามของกลไกจักรกล เมซงแห่งนี้ก็พร้อมโชว์ความสามารถไม่แพ้ไปจากการสร้างสรรค์เทคนิคอันซับซ้อนที่เคยเปิดตัวมาแล้วก่อนหน้านี้ โดยได้แสดงออกผ่านกลไก Caliber 2 และ Caliber 2.1 ที่เปิดตัวในปี 2017 และ 2018 ตามลำดับ กลไกทั้ง 2 คาลิเบอร์เด่นด้วยคุณลักษณะของการเป็นกลไกจักรกลแบบเปิดเปลือยและกึ่งเปิดเปลือยที่ได้แรงบันดาลใจมาจากดอกคามิลเลีย ดอกไม้อันแสนโปรดปรานของ กาเบรียล ชาเนล ทั้งยังประดับด้วยเพชรตามโครงร่างอันเรียวโค้งแบบฉลุโปร่งของดอกคามิลเลีย ทว่า ทั้งคู่ต่างกันด้วยรูปทรง โดยกลไก Caliber 2 พัฒนาขึ้นเพื่อบรรจุภายในตัวเรือนทรงเหลี่ยมของนาฬิกา Première ส่วน Caliber 2.1 ดัดแปลงมาเพื่อติดตั้งภายในตัวเรือนทรงกลมของนาฬิกา Mademoiselle Privé
Boy·Friend Pink Edition
ในปี 2018 เดียวกัน สตูดิโอสร้างสรรค์นาฬิกาแห่งนี้ยังได้เปิดตัวกลไกลำดับที่ 3 ใน Caliber 3 ซึ่งเป็นกลไกแบบเปิดเปลือย แต่สง่างามและทันสมัยยิ่งขึ้นด้วยการตกแต่งแบบสเกเลตัน ที่ใช้เวลาในการพัฒนาถึง 3 ปีเพื่อออกแบบให้กลไกนี้มีความสวยงามทั้งจากด้านหน้าและด้านหลัง เน้นไปที่การอวดความสามารถของการออกแบบองค์ประกอบกลไกที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจจากความเป็นผู้ชายและนำมาบรรจุในนาฬิกาข้อมือรุ่น Boy·Friend ทรงเหลี่ยมสุดเก๋ ทั้งยังคงความเปลือยโปร่งอันเป็นเอกลักษณ์ของคาลิเบอร์นี้ สำหรับปี 2024 CHANEL จึงได้เลือกที่จะนำกลไกทรงเสน่ห์นี้มาใช้ขับเคลื่อนในนาฬิกา 2 รุ่นพิเศษจาก Boy·Friend Pink Edition ที่นอกจากจะใช้กลไก Caliber 3 แบบเปลือยโปร่งตกแต่งด้วยการเคลือบสีชมพูและเบจโกลด์แล้ว ก็ยังมีจุดเด่นของการเลือกใช้สีชมพูหลากหลายเฉด ทั้งในรุ่น X-Ray Pink Edition กับตัวเรือนคริสตัลแซปไฟร์สีชมพูทั้งเรือน และรุ่นเบจโกลด์ใน Skeleton Pink Edition ซึ่งประดับขอบตัวเรือนด้วยแซปไฟร์สีชมพู ทั้งคู่ยังลงตัวเข้ากับสายหนังลวดลายควิลต์สีชมพู
J12 X-Ray Pink Edition
ส่วน Caliber 3.1 ซึ่งต่อยอดจาก Caliber 3 และเปิดตัวในปี 2020 นั้นยังคงเล่นกับความโปร่งใสด้วยการเป็นกลไกเปิดเปลือยบรรจุชิ้นส่วนประกอบไว้บนแผ่นแซปไฟร์จึงทำให้ดูเหมือนกลไกกำลังลอยอยู่ คาลิเบอร์นี้จึงเหมาะสำหรับรุ่น J12 X-Ray ที่เน้นความโปร่งใสเช่นกัน และปีนี้ สตูดิโอได้นำมาบรรจุภายในนาฬิกาอีกหนึ่งรุ่นเด่น อย่าง J12 X-Ray Pink Edition กับตัวเรือนคริสตัลแซปไฟร์ผสานด้วยขอบตัวเรือนเบจโกลด์ สวยงามด้วยการประดับแซปไฟร์สีชมพูเจียระไนทรงบาแกตต์คัตที่ตัดกับรูปทรงกลมของตัวเรือนนาฬิกาได้อย่างน่าชม
Caliber 5
J12 Diamond Tourbillon White Edition
การสร้างสรรค์นับเป็นกุญแจสำคัญของการริเริ่มนวัตกรรมใหม่ๆ ในการพัฒนากลไกนาฬิกาสำหรับ CHANEL เสมอ เหมือนเช่นในผลงานกลไก Caliber 5 และ Caliber 5.1 ที่ผลิตขึ้นพร้อมเปิดตัวในปี 2022 และ 2023 โดยทั้ง 2 กลไกผสานไว้ด้วยความสลับซับซ้อนสูงสุดของจักรกลฟลายอิ้งทูร์บิญอง อย่าง Caliber 5 ซึ่งนับเป็นกลไกฟลายอิ้งทูร์บิญองชุดแรกของแบรนด์ มาพร้อมกับเพชรเม็ดเดี่ยวแบบหมุนได้บนกรงทูร์บิญองที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ของคาลิเบอร์ ทั้งยังเป็นเพชรที่ได้รับการเจียระไนแบบพิเศษด้วย 65 เหลี่ยมเพื่อความแวววาวสูงสุด ส่วนใน Caliber 5.1 โชว์โครงสร้างและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เป็นหัวใจ ทั้งการบรรจุด้วยฟลายอิ้งทูร์บิญองตรงกลางประดับด้วยหัวสิงโต และเป็นจักรกลแบบแขวนลอยที่หมุนครบรอบภายใน 1 นาที เพื่อตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญในความสลับซับซ้อนของกลไกนี้อีกครั้ง ในปีนี้ เมซงได้เผยโฉมความสวยงามของทั้ง Caliber 5, เพชร และนาฬิกาไอคอนิก อย่าง J12 ภายใน 2 ผลงานรุ่นล่าสุด อย่าง J12 Diamond Tourbillon Black Edition และ White Edition ทั้งคู่โชว์กรงฟลายอิ้งทูร์บิญองประดับเพชรเม็ดเดี่ยวแบบหมุนได้ของกลไก Caliber 5 ไว้ที่ 6 นาฬิกา รับกับหน้าปัดแบบโอเพนเวิร์กในเฉดสีเดียวกันของแต่ละรุ่น และรายล้อมด้วยตัวเรือนเซรามิกความทนทานสูงสีดำ หรือตัวเรือนสตีลและเซรามิกความทนทานสูงสีขาว ซึ่งลงตัวเข้ากับขอบตัวเรือนเคลือบสีดำหรือสีขาวตกแต่งด้วยวงแหวนเซรามิกลวดลายบาแกตต์ให้ความแวววาวเจิดจรัสราวกับประดับด้วยอัญมณี
Caliber 6
J12 Couture Workshop Automaton
จากเส้นทางการพัฒนาและผลิตกลไกจักรกลคุณภาพโดย CHANEL Watch Manufacture ที่เดินทางมาอย่างต่อเนื่องนั้น ได้มาบรรจบกับอีกก้าวสำคัญในปี 2024 โดยการเปิดตัวกลไกอีกหนึ่งชุดล่าสุดของโรงงานการผลิตอันมีชื่อเสียง นั่นคือ Caliber 6 ในฐานะกลไกจักรกลอัตโนมัติคาลิเบอร์แรกที่มาพร้อมระบบเกียร์และสปริงอัจฉริยะสำหรับจักรกล Automaton ซึ่งทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้มาดมัวแซล ชาเนล สามารถเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ ไปพร้อมๆ กับหุ่นตัดเย็บของเธอเป็นเวลา 20 วินาที ที่สามารถมองเห็นได้จากบนหน้าปัดนาฬิกา พร้อมกับการตกแต่งด้วยฉากอาเตอลิเยร์ออกแบบเสื้อผ้าของเธอ ณ ถนนกัมบง การเคลื่อนไหวนี้ควบคุมได้ผ่านเพียงการกดปุ่มที่ด้านข้างของตัวเรือน โดย Chanel ได้รังสรรค์กลไกชุดนี้เพื่อบรรจุภายในนาฬิการุ่นสุดพิเศษแห่งปี อย่าง J12 Couture Workshop Automaton สำหรับร่วมเฉลิมฉลองธีมเด่นผ่านคอลเล็กชั่นแคปซูลของปีนี้ อย่าง Chanel Couture O’Clock ซึ่งแม้จะประกอบด้วยความซับซ้อนของชิ้นส่วนถึง 355 ชิ้น แต่ก็ทำให้การเคลื่อนไหวของมาดมัวแซลในนาฬิการุ่นนี้ดูมีชีวิตชีวา เป็นธรรมชาติ และตัดกับฉากหลังที่ผ่านการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันถึง 5 ชั้น สะท้อนถึงความสมดุลและสมบูรณ์แบบระหว่างการออกแบบและทักษะในการผลิตนาฬิกาที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดขีดความสามารถและนวัตกรรมการสร้างสรรค์ให้ก้าวหน้ารุดอีกขั้นเสมอสำหรับ Chanel Watch Manufacture