Wednesday, January 8, 2025

รวม 5 ประเด็นที่จะทำให้คุณรู้จักกับ Comètes Collective มากขึ้น

ชวนคุณทำความรู้จัก Cometes Collective ทั้ง 3 ผ่าน 5 ประเด็นจากบทสนทนาที่แอลได้มีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาอย่างใกล้ชิดถึงการทำงานบทบาท แนวคิด และวิธีการทำงานของพวกเขาร่วมกับ Chanel Beauty

Meet The Cometes Collective

สามศิลปินที่มารวมตัวกัน เพื่อส่งเสริมการแสดงออกที่ถึงเรื่องของความงามที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย และการใช้ความงามเป็นเครื่องมือในการสะท้อนตัวตนและเสริมสร้างพลังให้กับผู้คน

เมื่อ Chanel เชื่อว่าความงามคือการเดินทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งยังเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจจากอดีตและหยั่งรากลึกในปัจจุบัน บวกกับมุมมองที่พร้อมมองเดินไปข้างหน้า ทาง Makeup Creation Studio ของแบรนด์จึงมองหากลุ่มศิลปินดางรุ่งรุ่นใหม่ที่ตั้งใจให้เป็นอีกหนึ่งตัวแทนในการช่วยการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่แตกต่าง “Cometes Collective” เลยเป็นเกิดขึ้นโดย Valentina Li, Ammy Drammeh และ Cécile Paravina, คือกลุ่มศิลปินกลุ่มแรกที่เข้ามาร่วมจอย โดยพวกเธอเปิดตัวคอลเล็กชั่นแรกไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา (มกราคม 2024) ซึ่งทั้ง 3 มามาพร้อมผลงานที่โดดเด่นกับการหยิบเอาเรื่องของสีสันมาเป็นตัวกลางในการส่งผ่านเสน่ห์เฉพาะบุคคล

Valentina Li เปิดตัวด้วยคอลเล็กชั่น Spring 2024 ที่โดดเด่นด้วยเฉดสีฟ้าสด โดยเฉพาะสีฟ้าที่สื่อถึงธรรมชาติอย่างมหาสมุทรหรือท้องฟ้า เธอแสดงให้เห็นว่าการเล่นกับสีสามารถนำเสนอการบอกเล่าถึงประเพณีเก่าๆ ในขณะเดียวกันก็สามารถสื่อถึงความทันสมัยด้วยมุมมองใหม่ๆ  โดยเธอได้กล่าวไว้ด้วยว่า “สําหรับฉัน สีฟ้าให้ความรู้สึกเหมือนกําลังดาดิ่งสู่มหาสมุทรความปิติเกิดขึ้นยามคลื่นเคลื่อนผ่านผิวของฉันไป ในช่วงเวลาแบบนี้ ฉันจะมีจินตนาการพรั่งพรูและปล่อยให้มันโลดแล่นไปอย่างอิสระสีฟ้าคือหน้าต่างสูจิตวิญญาณ” ส่วน Ammy Drammeh เป็นผู้ที่มีแนวคิดไม่กลัวที่จะทลายกรอบ และใช้เครื่องสำอางเป็นเครื่องมือในการแสดงออกถึงตัวตนและความสร้างสรรค์เธอเปิดตัวมาด้วยคอลเล็กชั่น Summer 2024 ที่เต็มไปด้วยความสดใส เธอได้เล่าเอาไว้ว่า“ฉันอยากสร้างสะพานเชื่อมระหว่างความจริงและความฝัน ด้วยแรงบันดาลใจจากเทพนิยายและเรื่องราวที่พรรณาถึงธรรมชาติว่าเป็นสถานที่อันต้องมนตร์สะกด เต็มไปด้วยสีสัน ที่ซึ่งดอกไม้ลํ้าค่าดั่งอัญมณี และแสงสว่างสาดสองลงบนพื้นผิวที่น่าประหลาดใจ ฉันอยากจะสร้างความแตกต่างที่เปี่ยมชีวิตชีวาและเหนือความ คาดหมายด้วยการใช้แต่ละเฉดสีเป็นเครื่องมือควบคู่ไปกับทักษะในการรังสรรค์” และสุดท้าย Cécile Paravina นำเสนอ Ombre Essentielle อายแชโดว์สีเดี่ยว 14 เฉดสีที่ถูกนำมาเอาประวัติอันยาวนานของแบรนด์มาตีความใหม่ผ่านสีสันและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างโดยเธอเชื่อว่าสีแต่ละสีบวกกับเทคนิคการแต่งที่แตกต่างจะสามารถสะท้อนตัวตนและความรู้สึกของผู้สวมใส่ออกมาได้เป็นอย่างดี โดยเธอได้กล่าวไว้ว่า“สีคือวิธีการถ่ายทอดข้อความที่เป็นนามธรรมและซับซ้อนได้อย่างตรงประเด็นที่สุดค่ะ การแต่งหนา ด้วยสีเพียงสีเดียวช่วยให้แน่ใจว่าขอความที่สื่อสารออกมานั้นยิ่งหนักแน่นและทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก”

Diverse Collaboration


การทำงานร่วมกับทีมที่มีสมาชิกจากหลากหลายวัฒนธรรมและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้การออกแบบมีมุมมองที่หลากหลายและสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่เข้าถึงผู้คนได้อย่างแท้จริง

เมื่อพูดถึงเรื่องของการทำงานของพวกเขาทั้งสามเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่จะมองข้ามไม่ได้ เพราะการทำงานร่วมกับทีมที่มีสมาชิกจากหลากหลายวัฒนธรรมและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้การออกแบบมีมุมมองที่หลากหลายและสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่เข้าถึงผู้คนได้อย่างแท้จริง “เราทุกคนมาจากพื้นฐานที่แตกต่างกันและมีมุมมองที่หลากหลายในการออกแบบ แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นธรรมชาติและซื่อสัตย์ต่อความคิดของตัวเอง”หนึ่งใน Cometes Collective กล่าวซึ่งพวกเธออธิบายเสริมด้วยว่าหลายต่อหลายครั้งพวกเราเริ่มจากการนำผลิตภัณฑ์ที่กำลังพัฒนาอยู่ไปให้อีกฝ่ายลองใช้ก่อนเพื่อทดลองว่าในพวกเธอทั้งสามที่มาจากต่างวัฒนธรรมต่างสีผิวเพื่อหาคำตอบว่าแต่ละคนมีความคิดเห็นอย่างไร ชอบไม่ชอบตรงไหนเพื่อที่จะได้พัฒนาออกมาเป็นชิ้นที่ตอบรับการใช้งานของผู้คนที่หลากหลาย

Timeless Design Approach

การสร้างสรรค์จากแรงบันดาลใจที่ไม่มีขีดจำกัดแม้ว่าเทรนด์จะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา แต่พวกเขาเลือกที่สร้างสรรค์ผลงานที่ไม่ตามกระแส แต่ยังคงรักษาความซื่อสัตย์ต่อตัวตนและแนวคิดของแบรนด์

หากพูดแนวคิดในเรื่องของการออกแบบคอลเล็กชั่นต่างๆของเหล่า Cometes Collective นั้นไม่ได้มองเรื่องความนิยมหรือกระแสเป็นสำคัญหากจะเป็นชิ้นที่สามารถหยิบใช้ได้ตามความต้องการหรือโอกาสโดยพวกเขาได้กล่าวว่า “ส่วนใหญ่แล้วมันเริ่มจากความซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เรารู้สึก ถ้าเรามองเห็นภาพในจินตนาการได้ชัดเจน ผลิตภัณฑ์ก็จะประสบความสำเร็จ เราพยายามสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเทรนด์ เพราะเราทำงานล่วงหน้าถึงสองปี เทรนด์จึงไม่มีผลอะไรกับเราเลย” อีกทั้งพวกเธอยังเล่าด้วยว่า พวกเธอมักเสื่อสารและเรียนรู้จากกันและกัน เช่น ก่อนที่คอลเล็กชั่นจะถูกผลิต จะมีการลองใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยกันเพื่อดูว่ามันเหมาะกับโทนสีผิวต่างๆ หรือไม่ นอกจากนี้พวกเธอยังเสริมด้วยว่า “สำหรับฉันเทคนิคที่เราใช้ต่างกัน แต่ทำให้เข้าใจว่าทำไมแต่ละคนถึงชอบผลิตภัณฑ์บางอย่าง และนี่ช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น”

Innovation in Creation


การใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชาเนลเป็นการผสมผสานระหว่างความสวยงามและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

แม้การออกแบบในเรื่องของสีสันจะไม่ได้ผันเปลี่ยนไปตามเทรนด์แต่แน่นอนว่าความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีจึงไม่เคยหยุดพักเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นตอบรับการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยหนึ่งใน Cometes Collective เล่าว่า “ห้องปฏิบัติการใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาเนื้อสัมผัสใหม่ บางครั้งนานถึง 5-10 ปี สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างแรงบันดาลใจของเราและความเชี่ยวชาญของนักเคมี” นอกจากนี้ยังเสริมอีกว่า “เทคโนโลยีที่เราใช้ในผลิตภัณฑ์ไม่ใช่แค่การปรับสีหรือเนื้อสัมผัส แต่ยังรวมถึงการค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้” โดยเธอยกตัวอย่างให้ฟังว่าสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างสีลิปสติกหรือบลัลออนเป็นหนึ่งในสิ่งที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายของโทนสีผิวที่ต้องใช้งานได้จริง ดังนั้นเทคโนโลยีจึงเข้ามามีบทบาทที่ช่วยพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยพวกเธอจะคอยพยายามหาสมดุลระหว่างแรงบันดาลใจกับการใช้งานจริง ผลลัพธ์ที่ได้คือผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับผู้ใช้ทุกคนในแบบที่ตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์

The Spirit of Chanel


การเชื่อมโยงกับดีเอ็นเอของชาเนลเพื่อบอกเล่าถึงความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาและสร้างสรรค์ และเปิดกว้างให้กับความคิดสร้างสรรค์และศิลปะที่ไร้ขีดจำกัด

เชื่อว่าหลายคนอาจสงสัยว่าในแง่มุมของการทำงานร่วมกันระหว่าง Comet Collective และ Chanel แฟชั่นเฮ้าส์ที่มีประวัติมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี พวกเขา Balance ตัวตนของแบรนด์ กับเรื่องราวของความงามและตัวตนของพวกเขาได้อย่างไร? โดยพวกเขาได้อธิบายให้ฟังว่า “ฉันคิดว่าอัตลักษณ์ของ Chanel และสิ่งที่ Gabrielle Chanel สร้างขึ้นมาจากความรักในศิลปะ การเต้นรำ และความคิดสร้างสรรค์หลากหลายแขนงนั้น เธอได้ทิ้งเส้นทางที่เปิดกว้างไว้ให้เรา ซึ่งทำให้หลายๆ คนสามารถรู้สึกว่า Chanel เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนได้ เพราะ Chanel สนับสนุนความเป็นตัวของตัวเองและไม่มีการประนีประนอม” นอกจากนี้พวกเธอยังเล่าให้ฟังอีกว่าก่อนที่ฉันจะเข้ามาทำงานร่วมกับแบรนด์ต้องยอมรับว่าฉันเองไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงกับ Chanel มากนัก ฉันเคยคิดว่า Chanel เป็นเพียงความคลาสสิกและเป็นตำนาน แต่หลังจากที่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และเยี่ยมชมอพาร์ตเมนต์ของเธอ ฉันก็ได้ค้นพบคำสำคัญอื่นๆ เช่น ความล้ำสมัย และความมีชีวิตชีวาที่หลากหลายดังนั้นวันนี้เราพยายามที่จะเสริมสิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว โดยไม่พยายามเปลี่ยน DNA ของบ้าน Chanel ที่มีอยู่ เพียงแต่ใส่มุมมองของเราเข้าไปเพื่อสร้างสิ่งใหม่ที่ยังคงความไร้กาลเวลา”

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่แม้เมกอัพแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นสีสัน เนื้อสัมผัส ฟินิชชิ่งทัชไปจนถึงลักษณะของเมกอัพแต่ละชิ้นที่ถูกออกแบบโดยพวกเขาทั้ง 3 แม้จะแตกต่างไปตามแต่คอลเล็กชั่นและบริบทที่บอกเล่าต่างกันออกไป ในแต่ทั้งหมดกลับกลมกลืนและบอกเล่าตัวตนของแบรนด์ออกมาได้อย่างดีเยี่ยมและไม่สามารถแยกออกจากกันได้

Latest Posts

Don't Miss