เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กับบูติกตกแต่งใหม่ของ CHANEL ซึ่งกลับมาให้บริการอีกครั้งในรูปแบบสองชั้น ณ ชั้น M และชั้น 1 ของศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ พร้อมพาทุกคนก้าวเข้าสู่โลกแห่งชาเนลผ่านการออกแบบที่สอดแทรกปรัชญาของเมซง ตลอดจนแรงบันดาลใจจากอพาร์ตเมนต์ในตำนานของ Gabrielle Chanel เอาไว้ในแทบทุกพื้นที่ตารางเมตร ซึ่งงานนี้ก็ได้มีเหล่าแอมบาสซาเดอร์และแขกคนสำคัญของแบรนด์ไปร่วมเฉลิมฉลองการเปิดบูติกใหม่นี้กันอย่างคับคั่ง วันนี้แอลจึงขอพาทุกคนมาสำรวจ 5 ประเด็นที่ทำให้บูติกโฉมใหม่แห่งนี้เป็นหมุดหมายที่เหล่าสาวกชาเนลไม่ควรพลาด



#1 The Duplex Boutique
บูติกโฉมใหม่ของ CHANEL กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ณ ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ใจกลางโครงการดิเอ็มดิสทริก ซึ่งทำเลแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นหมุดหมายของการช็อปปิ้งที่ได้รับความนิยมในกรุงเทพมหานครเท่านั้น หากแต่ยังมีประวัติศาสตร์ร่วมกับแบรนด์มาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ในปี 1997 ที่ CHANEL ตัดสินใจมาเปิดบูติกแห่งแรกที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม จึงถือเป็นการตอกย้ำความผูกพันของแบรนด์ที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ โดยครั้งนี้กลับมาในรูปแบบดูเพล็กซ์ ที่ชั้น M และชั้น 1 ซึ่งมีพื้นที่ทั้งสองชั้นรวมกันกว่า 1,345 ตารางเมตร ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยถึง 4 เท่า และได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อฉลองแด่มรดกของเมซงอันล้ำค่าของเมซงโดยสถาปนิกเลื่องชื่ออย่าง Peter Marino ผู้มีหลากปรัชญาในการออกแบบเป็นการผสมผสานศิลปะร่วมสมัยเข้ากับงานสถาปัตยกรรม ตลอดจนเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบลายเส้นเชิงสถาปัตยกรรมโดย Aaron Poritz หรือผลงานที่สร้างสรรค์เป็นพิเศษโดย Fran Taubman และ Y.Z. Kami รวมไปถึงผลงานที่จุดประกายความคิดสร้างสรรค์โดยฝีมือของ Rashid Johnson, Alastair Gordon, Johan Creten และ Alexandre Log



#2 The Inspiration

หลากหลายความสร้างสรรค์ของ CHANEL ล้วนเชื่อมโยงกลับไปสู่ผู้ริเริ่มอย่าง Gabrielle Chanel ด้วยเหตุนี้ แรงบันดาลใจในการเนรมิตบูติกสองชั้นแห่งนี้ย่อมต้องหนีไม่พ้นอพาร์ตเมนต์อันเลื่องชื่อ ณ อาคารเลขที่ 31 ถนนกัมบง ในกรุงปารีส ที่ซึ่งมาดมัวแชลล์ใช้เวลาแทบทั้งหมดในการรังสรรค์แฟชั่นเปลี่ยนโลกของเธอ จนสถานที่แห่งนั้นได้รับการยกย่องให้เป็นอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์เมื่อปี 2013 โดยกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส และบูติกโฉมใหม่นี้ก็ได้นำเอกลักษณ์ของชาเนลมานำเสนออย่างครบทุกอณู ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุต่างๆ เช่น แกรนิตสีดําขัดมัน หินลาวา และโลหะสีดําชุบผิว รวมไปถึงการใช้ฉากกั้นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉากพับโคโรแมนเดลในอพาร์ตเมนต์ด้วยเช่นกัน





#3 The Art Pieces
หากคุณเคยไปเยี่ยมเยือนหรือได้ชมภาพภายในอพาร์ตเมนต์ของ Gabrielle Chanel แล้วล่ะก็ หนึ่งสิ่งที่สัมผัสได้ทันทีคือความหลงใหลในผลงานศิลปะของมาดมัวแซลล์ที่ถ่ายทอดออกมาผ่านผลงานศิลปะมากมายที่ประดับประดาเติมเต็มทั่วอพาร์ตเมนต์ ตอกย้ำถึงความใกล้ชิดสนิทสนมและการอุปถัมภ์วงการศิลปะที่มีมาอย่างยาวนานของ CHANEL ซึ่งบูติกโฉมใหม่แห่งนี้ก็ได้มีการนำผลงานศิลปะกว่า 22 ชิ้นซึ่งจำลองจากชิ้นงานดั้งเดิมของ Gabrielle Chanel มาตกแต่งอยู่ทั่วทุกจุดของบูติก ตั้งแต่โซนจัดแสดงไปจนถึงห้องรับรอง เรียกว่าเป็นการคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่ง CHANEL อย่างสมบูรณ์แบบ


#4 All The Rooms
พื้นที่กว่า 2 ชั้นของบูติกแห่งนี้มีการแบ่งโซนวางจำหน่ายสินค้าในจักรวาล CHANEL อย่างครบครัน ตั้งแต่เสื้อผ้าและแอ็กเซสเซอรี่ส์จากคอลเล็กชั่น Fall/Winter 2025/26 ที่เป็นการยกระดับดีเอ็นเอของแบรนด์ให้โดดเด่นและงดงามรวมกับฝันผ่านการนำโบว์มาดีไซน์ในสัดส่วนแปลกตา นำไข่มุกมาตกแต่งตามรองเท้าและเครื่องประดับอื่นๆ รวมถึงมีการเล่นกับขนาดที่แตกต่างอีกด้วย ขณะที่กระเป๋า รองเท้า และแอ็กเซสเซอรี่ส์ก็มีพื้นที่เฉพาะเพื่อนำเสนอผลงานชิ้นเด่นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นไฮไลต์ประจำฤดูกาลอย่าง CHANEL 25 ไปจนถึงกระเป๋าไอคอนิกอย่าง 2.55 และ 11.12 และรองเท้าที่โชว์บนรันเวย์ควบคู่ไปกับรุ่นคลาสสิก เช่น รองเท้าที่มีสายรัดด้านหลัง รองเท้าสนีกเกอร์ และรองเท้าส้นแบนบัลเลริน่า




นอกจากนี้ยังมีห้องรับรองพิเศษสำหรับลูกค้าคนสำคัญที่มีการนัดหมายล่วงหน้าโดยเฉพาะถึง 3 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องก็ได้มีการออกแบบอย่างพิถีพิถันในทุกดีเทลพร้อมบรรยากาศเป็นส่วนตัวเพื่อมอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับผู้มาเยือนไปพร้อมๆ กับสะท้อนถึงทักษะความชำนาญของแบรนด์ในการผสมผสานความหรูหราทันสมัยเข้ากับความงามประณีตอันล้ำค่าได้อย่างลงตัวในคราวเดียวกัน

#5 Watches & Fine Jewelry Boutique
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญประจำบูติกแห่งนี้ที่จะทำให้เหล่าสาวกชาเนลต้องตื่นตาคงจะหนีไม่พ้น EMQUARTIER CHANEL WATCHES&FINE JEWELRY BOUTIQUE ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยกับการแยกห้องสำหรับจัดแสดงนาฬิกาและไฟน์จิวเวลรี่โดยเฉพาะ โดยมีผลงานไฮไลต์คือ Première Galon นาฬิการุ่นแรกของแบรนด์ซึ่งถูกนำมาตีความใหม่เยลโลว์โกลด์ ตกแต่งด้วยแถบเปียอันประณีตและประดับเพชร และ CHANEL J12 Yellow Gold นาฬิกาเซรามิกไอคอนิกซึ่งถูกนำมาตีความใหม่อย่างโดดเด่น ตลอดจนนำไฮจิวเวลรี่อย่างคอลเล็กชั่น COCO Crush และ No.5 มาจัดแสดงในตู้โชว์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ



ในโซนนี้คุณจะได้สัมผัสกับอีกหนึ่งความพิเศษ กับห้องรับรองบรรยากาศสุดส่วนตัวสำหรับการนัดหมายพิเศษอย่าง Immersive Salon ซึ่งเป็นที่แรกและที่เดียวในประเทศไทยที่จะพาทุกคนสัมผัสกับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟผ่านการจำลองอพาร์ตเมนต์ของ Gabrielle Chanel ที่อาคารเลขที่ 31 ถนนกัมบง ในกรุงปารีส แบบ 360 องศา โดยทั้งหมด 5 ห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น, ทางเข้า, ห้องรับประทานอาหาร, ห้องทำงาน และ ชั้นบันได ตลอดจนสำรวจเรื่องราวของคอลเล็กชั่นต่างๆ ราวกับได้หลุดเข้าไปยังพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ของ Gabrielle Chanel เลยทีเดียว


