Monday, April 28, 2025

5 เทรนด์ความงามในแวดวง Aesthetic ในปี 2025 ปีแห่งการเปิดเผย ‘ทำหน้า’ ก็บอกว่าทำ!

ปี 2025 นี้ความสวยด้วยแพทย์อาจเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับความสนใจ ที่ทุกคนเริ่มรู้จักตัวเอง เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของวัย สภาพผิว และปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะผิวแห้งกร้าน มีริ้วรอย ความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ รวมไปถึงปัญหาของคอลลาเจนและอิลาสตินที่เสื่อมไปตามวัย รู้ว่าการใช้ครีมบำรุงอย่างเดียวอาจไม่พอ เลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเองได้อย่างไม่ลังเล ฉะนั้นการเดินเข้าคลินิกจึงเป็นทางออกของคนที่อยากดูแลตัวเอง หรือแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด และตอบโจทย์ความรวดเร็วในแง่ของผลลัพธ์ ในอีกฟากของผู้ประกอบการ ก็ถือว่าเป็นข้อดีในการสร้างมาตรฐานให้คลินิกความงามเริ่มตื่นตัว ปรับตัว และหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลคนไข้แบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น ไม่มีแพตเทิร์น ไม่สามารถทำตามกันได้ แต่เป็นการดูแลความงามแบบคัสตอมไมซ์ ด้วยการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้คนไข้นั่นเอง ซึ่งก็เป็นที่มาของ 5 เทรนด์ความงามในแวดวง Aesthetic ให้อ่านก่อนตัดสินใจ แล้วคุณจะรู้ว่าการเข้าคลินิกไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

#1 Aesthetic procedures will no longer be a secret การทำหน้าจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

ประเดิมด้วยเทรนด์แรกที่มาแน่ในปีนี้น่าจะเป็น Mindset ของผู้คนเกี่ยวกับเรื่องของการเข้าคลินิก ชนิดที่ว่าแปะยาชาแล้วขับรถไปทำหน้ากัน หมดยุคหลบๆ ซ่อนๆ ทำแล้วบอกไม่ได้ทำ ปีนี้จะเป็นเรื่องของความโปร่งใสในการเข้าคลินิก มีการเปิดเผยเรื่องการดูแลผิวโดยแพทย์มากขึ้น เพราะผู้บริโภคมีความเข้าใจแล้วว่าการดูแลผิวด้วยครีมบำรุงอาจไม่เพียงพอ ที่จะช่วยแก้ปัญหาผิวได้ทุกมิติ และในมุมของผู้ประกอบการก็ได้กลับมาโฟกัสที่ผลลัพธ์แบบเฉพาะบุคคล มากกว่าการทำตามเทรนด์ หรือแข่งกันด้วยโปรโมชั่น ต้องบอกว่าเป็นสงครามของความจริงใจ โปร่งใส และเน้นความเรียบง่ายในการดูแลผิวที่ตอบโจทย์ในระยะยาว มากกว่าตามกระแสที่ไม่ยั่งยืน ทำให้เราได้เห็นถึงการพูดคุยเรื่องความงามแบบไม่มีข้อห้าม ไม่มีเคอะเขิน สามารถยกมาเป็นท็อปปิกบนโต๊ะอาหาร ช่วงจิบกาแฟ หรือเดินช็อปปิ้ง แบบไม่ต้องกังวลว่าใครจะล้อว่าสวยด้วยแพทย์เหมือนเมื่อก่อน

#2 Filler on going trend เมื่อฟิลเลอร์ก็ยังคงอยู่ต่อไป!

ขอฟันธงเลยว่าในปี 2025 นี้การฉีดฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ที่หลายคนเลือกใช้เพื่อปรับรูปหน้าจะได้ไปต่อ แต่จะมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น จากที่เราเคยเห็นฟิลเลอร์หน้าล้น ปากมาสด้า คางเช็กอิน หรือแม้แต่ฉีดตามดารา เอาเรเฟอเรนซ์มาให้คุณหมอ สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ หายไป เพราะคนเริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของการใช้ฟิลเลอร์ หรือ Hyaluronic Acid (HA) มากขึ้น ฉะนั้นการฉีดฟิลเลอร์จะยังคงอยู่และไม่มีวันหายไปจากคลินิกความงาม เพียงแต่ความต้องการของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป ทุกคนให้ความสำคัญกับการใช้ฟิลเลอร์ในการแก้ปัญหามากกว่าเสริมเติมแต่ง อาทิ การเติมขมับที่ตอบ การเติมร่องแก้มที่ลึก การแก้ปัญหาร่องริ้วรอยที่ริมฝีปาก หรือแม้แต่การฉีดแบบกระจายทั่วหน้าเพื่องานผิว ถือซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากที่แพทย์จะได้เลือกใช้ฟิลเลอร์เพื่อผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ทั้งยังเป็นการลบความเชื่อผิดๆ ของการใช้ฟิลเลอร์ด้วย

#3 More Options, More Solutions ทางเลือกใหม่เพื่อความต้องการที่กว้างขึ้น

ต้องบอกว่าในปีนี้หลายคนที่ยังกังวลกับการใช้ฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ก็มีอีกหนึ่งตัวเลือกเกิดใหม่เพื่อมาให้เป็นออพชั่นเพื่อความต้องการที่เปลี่ยนไป ดังนั้น Collagen Biostimulator จึงกลายเป็นสิ่งใหม่ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถทดแทนวอลูมบนใบหน้าที่ขาดได้ (ในบางจุด) แม้ผลลัพธ์จะไม่เห็นชัดทันทีเหมือนการใช้ฟิลเลอร์ และอาจต้องรอให้เกิดกระบวนการกระตุ้นและสร้างคอลลาเจนภายใต้ผิว ด้วยความที่หัตถการนี้เป็นการที่ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาทดแทน ไม่ใช่การเติมสารใดๆ เข้าไปใต้ผิว ผลลัพธ์ที่ได้จึงมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า และยังสามารถนำมาแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย อาทิ เติมเต็มส่วนที่ขาด ยกกระชับ ฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก ทำให้ผิวแข็งแรง ลดริ้วรอยบนใบหน้า และเพิ่มความกระจ่างใส และแม้ราคาที่สูงกว่าการใช้ฟิลเลอร์ หรือสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวอื่นๆ แต่เมื่อราคาที่จ่ายออกไปสมเหตุสมผลกับผลลัพธ์ ไม่ต้องรอลุ้นความเสี่ยงอื่นๆ ก็เป็นอะไรที่คุ้มและน่าลอง โดย Collagen Biostimulator หรือที่เรียกกันว่า Sculptra จัดเป็นกลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน Poly-L-Lactic Acid (PLLA) หนึ่งในสารสำคัญของการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติ ช่วยในการรักษาความชุ่มชื่น ให้ผิวมีความแข็งแรงและดูเด็กลง เพื่อมาเติมเต็มในตำแหน่งที่ต้องการโดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์จึงเริ่มเห็นผล 3 เดือนจะผลลัพธ์ชัดเจนที่สุด และจะอยู่ได้ถึง 24 เดือน

#4 Upgrade Technology นวัตกรรมใหม่ต่อยอดจากสิ่งเดิมเพื่อสิ่งที่ดีกว่า

Ulthera Prime แค่ Minor Chang หรือเพิ่มนวัตกรรมอะไรมา? หนึ่งในนวัตกรรมความงามที่หลายคนประทับใจจนต้องกลับมาทำซ้ำในทุกๆ ปี คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Ultherapy โปรแกรมยกกระชับที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงไมโครโฟกัสอัลตราซาวนด์ ซึ่งมีหน้าจอแสดงผลแบบเรียลไทม์ ให้เห็นชั้นผิวทุกครั้งที่ยิง และปรับค่าพลังงานได้ จึงทำให้การยกกระชับค่อนข้างแม่นยำและตรงจุด มาปีนี้หลายคลินิกเริ่มทยอยเปิดตัวเครื่องยกกระชับรุ่นใหม่ Ulthera PRIME ที่ใครได้ทำก็บอกว่า…เร็วขึ้น ลืมเจ็บ ทำเสร็จยกเลย แต่สำหรับผู้เขียนมองว่าจุดเด่นหลักๆ ของเครื่องใหม่นี้คือดีไซน์ที่ทันสมัย สวยงาม มีการออกแบบหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้น 35% ทำให้การแสดงภาพมีความคมชัด ยิงได้ตรง ประมวลผลได้เร็ว และส่งพลังงานถึงชั้น SMAS ได้ไว เป็นผลดีต่อแพทย์ในการทำหัตถการที่ไม่นาน

แต่ด้วยหัวยิงยังคงใช้ตัวเดิม Ulthera PRIME จึงเป็น Minor Chang ของ Ulthera SPT ที่ปรับโฉมมาเพื่อลดระยะเวลาการทำ และเพิ่มความแม่นยำในการแสดงผลมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าจากใครที่ใช้เวลาทำโปรแกรมยกกระชับ 1 ชั่วโมง อาจจะเหลือแค่ 30 นาที ระหว่างทำเจ็บน้อยลง สบายผิวมากขึ้น และยังคงให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพเช่นเดิม ฉะนั้นต้องชั่งใจว่าถ้าจ่ายในราคาที่สูงกว่า Ulthera รุ่นเดิมเล็กน้อยเราพร้อมไหม หรืออีกมุมถ้าผู้ประกอบการเคาะบัดเจ็ตมาในราคาที่น่ารัก และไม่กระโดดมากจากเดิม ผู้เขียนมองว่า Ulthera PRIME จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยกกระชับที่ได้รับการตอบรับดีมากๆ ในปีนี้

#5 Zero Downtime Is The Key ทำเสร็จแล้วออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้เลย

ตั้งแต่ปีนี้ไปอีก 3 ปี ความเป็นธรรมชาติและความสวยในแบบตัวเองจะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ที่เพิ่มเติมมาก็คือ ความรวดเร็วในการฟื้นฟูผิวแบบที่ไม่มีผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าให้อธิบายอย่างเข้าใจง่ายๆ ก็คือทำอะไรแล้วไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีดาวน์ไทม์ สามารถออกไปอวดความสวยและเดินช็อปปิ้งต่อได้เลย มีความเป็นธรรมชาติ ไม่ล้นไปไม่น้อยไป มีความพอดี ปรับเปลี่ยนแล้วเข้ากับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลด้วยโปรแกรมเลเซอร์ ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง จนต้องส่งใบลาในวันรุ่งขึ้น การใช้ฟิลเลอร์ในการแก้ปัญหาแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือแม้แต่การเติมงานผิวที่เน้นความแวววาว ในแบบที่ส่องกระจกแล้วไม่ต้องมาลุ้นว่าตุ่มแดงๆ จะหายไปในกี่วัน เรียกว่าช่วยฟื้นฟูผิวแล้วยังไม่กระทบกับจิตใจ หรือการใช้ชีวิตประจำวันด้วย

Latest Posts

Don't Miss