Thursday, November 27, 2025

จากไร่ฝ้ายและใบคราม นี่คือความงามจากธรรมชาติซึ่งหลอมรวมกับแฟชั่นที่ Rumah SukkhaCitta

แอลได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปเยี่ยมชมวิถีชีวิตและการทำงานร่วมกับชุมชนของ Denica Riadini-Flesch ผู้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้าจากวัสดุธรรมชาติ SukkhaCitta และศูนย์การเรียนรู้ Rumah SukkhaCitta ในประเทศอินโดนีเซีย พร้อมสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับกระบวนการทำงานที่พึ่งพาธรรมชาติและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างสมบูรณ์แบบ นับตั้งแต่การเพาะปลูกฝ้าย การย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติ การตกแต่งลวดลาย การออกแบบ จนถึงการตัดเย็บ และการฟื้นคืนชีวิตชีวาให้กับเสื้อผ้าอีกครั้ง เพื่อให้แฟชั่นเหล่านี้อยู่กับผู้คนไปได้อีกยาวนาน  

Her Initiative  

เราได้รู้จักกับ เดนิกา เรียดินี-เฟลช มาแล้วก่อนหน้านี้ หลังมีโอกาสร่วมงานฉลองรับรางวัล Rolex Awards ผ่านโครงการ Perpetual Planet Initiative ของ Rolex เมื่อปี 2023 ที่ประเทศสิงคโปร์ แน่นอนว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุด ไม่ใช่เพียงการเป็นชาวอินโดนีเซียคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ แต่ยังรวมไปถึงพันธกิจอันมุ่งมั่นของเธอเอง ที่ต้องการเชื่อมโยงธรรมชาติให้สอดคล้องกับกระบวนการทำงานในโลกแฟชั่น และสร้างรูปแบบของการสร้างสรรค์โลกทั้ง 2 ฝั่งนี้ให้สามารถเดินเคียงข้างกันไปได้อย่างยั่งยืน 

แนวคิดบุกเบิก ‘Farm-to-Closet’ จากผืนดินสู่ผืนผ้าของ เดนิกา เรียดินี-เฟลช แสดงออกถึงแรงสนับสนุนสำคัญในการขยายห่วงโซ่อุปทานแฟชั่นเชิงฟื้นฟู ไปสู่การมุ่งเสริมศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งแก่สตรีในชนบทได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ สิ่งที่เราได้ร่วมสัมผัสจากการเดินทางไปเยี่ยมชมการทำงานของศูนย์การเรียนรู้และโรงเรียนหัตถกรรม Rumah SukkhaCitta พื้นที่การผลิตที่มีชีวิตซึ่งตั้งอยู่ในชวาตะวันออกของอินโดนีเซียครั้งนี้ ยังรวมไปถึงแนวคิดสำคัญในการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมทั้งผสมผสานเข้ากับนวัตกรรมที่จะนำพาให้การอนุรักษ์เหล่านี้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับความตั้งใจของ เดนิกา เรียดินี-เฟลช ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้าเชิงจริยธรรม SukkhaCitta และศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ขึ้นในปี 2016 หลังจากที่เดนิกากลับมายังประเทศบ้านเกิด เมื่อเรียนจบและทำงานในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ด้านการพัฒนาในต่างประเทศเป็นเวลาหลายปี โดยทั้งแบรนด์และศูนย์การเรียนรู้ฯ ล้วนตั้งต้นมาจากเป้าหมายของการดำเนินงานในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งสร้างผลลัพธ์เชิงบวกอย่างกว้างขวางต่อผู้คนและชุมชนสตรีในประเทศ จนทำให้เธอได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 ผู้ได้รับรางวัล Rolex Awards for Enterprise ประจำปี 2023

Interdependent Community

ในระหว่างการเดินทางเยี่ยมชม เรารู้สึกได้ถึงการหลอมรวมเป็นหนึ่งเข้ากับชุมชนของแบรนด์ SukkhaCitta โดยการพึ่งพากันของผู้คนในชุมชนและศูนย์การเรียนรู้ฯ ทั้งในแง่ของการผลิต การเรียนรู้และเผยแพร่ทักษะต่างๆ ที่ชุมชนเชี่ยวชาญ เช่น ทักษะการทำเกษตรกรรมที่พึ่งพาธรรมชาติตามแบบดั้งเดิมของท้องถิ่น และเสริมด้วยแนวทางการดำเนินงานอย่างยั่งยืนจากประสบการณ์ของเดนิกา หรือการย้อมสีจากวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ และการทำงานหัตถศิลป์เชิงจริยธรรม ซึ่งล้วนบ่มเพาะไว้ด้วยทักษะ ความสามารถ และองค์ความรู้ของชุมชน นำมาผสมผสานเข้ากับแนวทางด้านนวัตกรรม เพื่อสร้างสรรค์เสื้อผ้าคุณภาพสูงที่ผลิตด้วยฝีมือหัตถกรรมแบบดั้งเดิม

หนึ่งในตัวอย่างเหล่านี้ คือแนวทางการทำงานของเดนิกา และศูนย์การเรียนรู้ Rumah SukkhaCitta กับความมุ่งมั่นในการเสริมศักยภาพให้แก่ช่างฝีมือสตรีในท้องถิ่น อย่าง ช่างฝีมือผู้รังสรรค์ลวดลายเฉพาะของผ้าบาติก ตลอดจนช่างตัดเย็บ และช่างย้อมผ้าที่ช่วยปลุกฟื้นและเติมเต็มความชีวิตให้กับเสื้อผ้าด้วยธรรมชาติ ตลอดจนการทำงานเพื่อฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมสภาพด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ไร่ฝ้ายในผืนป่าเขียวชอุ่ม และไร่ครามที่ปลูกตามธรรมชาติรอบหมู่บ้าน โดยเราได้มีโอกาสพูดคุยกับช่างฝีมือ ชมไร่คราม และสัมผัสกับวิธีการนำภูมิปัญญาดั้งเดิมเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ตลอดการเยี่ยมชมครั้งนี้กันอย่างใกล้ชิด

Farm-to-Closet

จากพื้นที่สีเขียวชอุ่มกลางผืนป่า เราได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของการทำเกษตรกรรมตามธรรมชาติอย่างแท้จริง ผ่านไร่ฝ้ายที่ซ่อนตัวอย่างกลมกลืนท่ามกลางผืนป่า โดยอาศัยการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวตามธรรมชาติ อาศัยเพียงความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน และน้ำฝนตามฤดูกาลในการเพาะปลูก และเก็บเกี่ยวด้วยมือของเกษตรกรผู้ชำนาญ ไร่ฝ้ายเหล่านี้จึงเป็นแหล่งต้นกำเนิดของเสื้อผ้าธรรมชาติอย่างแท้จริงของแบรนด์ รวมถึงเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับชุมชนที่ยังคงสอดคล้องกับวิถีของธรรมชาติ

เช่นเดียวกับไร่ครามเชิงฟื้นฟู ที่หากไม่บอก เราก็คงไม่รู้ เพราะไร่ครามนี้แฝงตัวอยู่กับภูเขาและต้นไม้ ช่างดูแตกต่างไปจากไร่พืชพรรณของเกษตรกรที่เราอาจคุ้นเคย โดยกลุ่มสตรีของชุมชนและศูนย์การเรียนรู้ฯ จะเลือกเก็บเกี่ยวใบครามที่เหมาะสำหรับย้อมสีด้วยมือทีละใบ เพื่อให้คงความสมบูรณ์ของคลังผลิตวัตถุดิบสำหรับการย้อมสีนี้ไว้ได้อย่างยาวนานและยั่งยืน ก่อนที่จะนำใบครามที่เก็บเกี่ยวได้ไปหมักในน้ำฝนและคนจนเกิดเป็นฟอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิต SweetIndigo™ สีย้อมจากพืชที่มีเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดยไม่ใช้ทั้งสารเคมีและไม่ก่อให้เกิดของเสีย  

จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการย้อมสีธรรมชาติ ที่ขั้นตอนนี้เริ่มต้นด้วยการจุ่มผ้าลงในบ่อสีย้อมจากพืชทีละชั้น เพื่อสร้างเฉดสีที่บริสุทธิ์ อ่อนโยนต่อผิวและเป็นมิตรต่อโลก เช่นเดียวกับการตกแต่งลวดลายด้วยศิลปะบาติกที่อาศัยเพียงวัตถุดิบธรรมชาติ ตั้งแต่ขี้ผึ้งและเครื่องมือแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า จันทิง (tjanting) ระหว่างเยี่ยมชม ช่างฝีมือได้สาธิตการทำลวดลายบนผ้าที่ถูกวาดด้วยมือโดยใช้ขี้ผึ้งร้อน โดยแต่ละลวดลายที่เลือกยังเป็นลวดลายพื้นถิ่นและเปี่ยมด้วยสัญลักษณ์ซึ่งสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุ โดยเหล่าอีบู (Ibus) หญิงท้องถิ่นที่จดจำลวดลายและเทคนิคมาจากรุ่นปู่ย่าตายาย ขณะที่บางลวดลายก็ได้รับการตีความใหม่ เพื่อปลุกฟื้นศิลปะบาติกให้กลับมามีชีวิตชีวาและร่วมสมัย

แนวทางการทำงานเหล่านี้ยังคงอาศัยประสบการณ์และภูมิปัญญาของท้องถิ่นเป็นหลัก เช่น การทำงานของเกษตรกรปลูกฝ้ายรุ่นเก่าของอินโดนีเซียที่ยังคงจดจำวิธีการที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยผสมการปลูกฝ้ายเข้ากับระบบนิเวศป่า ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการใช้สารเคมี อาศัยภูมิปัญญาของเกษตรกรรายย่อย ที่ศูนย์การเรียนรู้ฯ ได้เริ่มปลูกฝ้ายเองด้วยแนวทางเกษตรแบบฟื้นฟู โดยการปลูกฝ้ายร่วมกับพืชอีก 2-3 ชนิด เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูสภาพดิน นอกจากนี้ พวกเขายังผลิตและใช้สีย้อมธรรมชาติจากพืชที่ชาวไร่ปลูกเอง อย่างต้นคราม เพื่อให้ได้สีย้อมผ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Handful House of Fashion

ห่างจากศูนย์การเรียนรู้ฯ ออกไปไม่ไกล ยังเป็นที่ตั้งของสตูดิโอตัดเย็บและสร้างสรรค์เสื้อผ้าของ SukkhaCitta โดยเป็นการทำงานร่วมกันของทั้งช่างออกแบบ ช่างตัดเย็บ และช่างฟื้นฟูเสื้อผ้าเก่าให้กลับมามีชีวิตและสดใสได้อีกครั้ง โดยเฉพาะผ่านการย้อมสีใหม่ได้ไม่จำกัด หลายครั้งที่ลูกค้าของแบรนด์ได้ส่งเสื้อผ้าตัวโปรดของพวกเขากลับมาปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือย้อมสีใหม่ ที่ทำให้เสื้อผ้าเหล่านี้สามารถถูกนำกลับมาใช้ใหม่ และฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาและสไตล์ได้อีกครั้ง ทั้งยังช่วยให้สามารถสวมใส่ไปได้อีกยาวนาน ตรงกับความตั้งใจของแบรนด์ที่มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เสื้อผ้าคุณภาพสูงเชิงจริยธรรมและยั่งยืน

นอกจากส่วนของกระบวนการรังสรรค์เสื้อผ้าแฟชั่นแล้ว ยังมีพื้นที่ส่วนเล็กๆ ของเหล่าช่างฝีมือหญิงที่รวมตัวกันทำกระเป๋าผ้าบาติกด้วยมือซึ่งออกแบบมาอย่างสวยงามและทันสมัย อย่าง กระเป๋าถือใบเล็กสำหรับใส่เครื่องสำอางหรือแอคเซสเซอรีส์ของผู้หญิง ที่หยิบเอาวัตถุดิบและวัสดุเหลือใช้ในกระบวนการทำเสื้อผ้ามาประยุกต์เป็นสิ่งของเครื่องใช้ ทั้งยังมีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์อันชัดเจนของแบรนด์ด้วย

การทำงานร่วมกับชุมชน ช่างฝีมือสตรี และด้วยแรงสนับสนุนของ Rolex Awards ได้สร้างความภูมิใจและเป็นแรงบันดาลใจให้กับ เดนิกา อย่างดียิ่ง เหมือนกับที่เธอกล่าวว่า “สิ่งที่อยู่เบื้องหลัง SukkhaCitta คือการขับเคลื่อนของผู้คน ไม่ใช่แค่แบรนด์ ดังนั้น สิ่งสำคัญสำหรับฉันคือการถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้เข้าถึงผู้คนในวงกว้างที่สุดที่จะทำได้ และ Rolex พร้อมโครงการ Perpetual Planet Initiative นี้ ก็เป็นพลังที่ช่วยให้ฉันทำสิ่งนั้นได้จริง”

การได้เยี่ยมชมกระบวนการทำงานและการดำเนินงานของทั้งแบรนด์ SukkhaCitta และศูนย์การเรียนรู้ฯ Rumah SukkhaCitta ครั้งนี้ มอบอะไรที่มากกว่าการได้เห็นขั้นตอนการทำงานอีกหนึ่งรูปแบบของแบรนด์เสื้อผ้า ที่พึ่งพิงอาศัยเพียงธรรมชาติ ภูมิปัญญา และความสามารถของชุมชนท้องถิ่น แต่กลับสามารถเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างสรรค์อุตสาหกรรมแฟชั่นให้มีความยั่งยืนและคงความสวยงามทันสมัยได้จริง ทั้งยังสร้างความภูมิใจให้กับชุมชนสตรีในท้องถิ่น นอกเหนือไปจากการสร้างรายได้อย่างเป็นธรรม เหมือนกับที่ เดนิกา ภูมิใจในแนวทางดั้งเดิมที่แบรนด์นำมาปรับใช้ เพราะ “สิ่งที่ดีที่สุด คือนี่ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่หรูหราอะไรเลย แต่มาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนในอินโดนีเซีย”

ส่วนที่เราประทับใจมากเช่นกัน คือการสืบทอดและอนุรักษ์ลวดลายท้องถิ่นของศิลปะบาติกไว้บนผืนผ้า ที่ด้วยทั้งวิธีการทำและลวดลายนั้นดูแล้วเหมือนจะเรียบง่าย แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ไม่เพียงถ่ายทอดความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงเป็นเหมือนการสอดแทรกวิถีชีวิตและวัฒนธรรมพื้นถิ่นของชุมชนไว้ในเสื้อผ้าเหล่านี้ได้อย่างกลมกลืน และพร้อมที่จะสื่อสารถึงความโดดเด่น ตลอดจนกระบวนการสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนนี้ต่อไปยังผู้คน ผ่านผืนผ้า ลวดลาย และงานฝีมือได้ด้วย

ELLE Says:

การได้เยี่ยมชมกระบวนการทำงานและการดำเนินงานของทั้งแบรนด์ SukkhaCitta และศูนย์การเรียนรู้ฯ Rumah SukkhaCitta ครั้งนี้ มอบอะไรที่มากกว่าการได้เห็นขั้นตอนการทำงานอีกหนึ่งรูปแบบของแบรนด์เสื้อผ้า ที่พึ่งพิงอาศัยเพียงธรรมชาติ ภูมิปัญญา และความสามารถของชุมชนท้องถิ่น แต่กลับสามารถเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างสรรค์อุตสาหกรรมแฟชั่นให้มีความยั่งยืนและคงความสวยงามทันสมัยได้จริง ทั้งยังสร้างความภูมิใจให้กับชุมชนสตรีในท้องถิ่น นอกเหนือไปจากการสร้างรายได้อย่างเป็นธรรม เหมือนกับที่ เดนิกา ภูมิใจในแนวทางดั้งเดิมที่แบรนด์นำมาปรับใช้ เพราะ “สิ่งที่ดีที่สุด คือนี่ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่หรูหราอะไรเลย แต่มาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนในอินโดนีเซีย”

ส่วนที่เราประทับใจมากเช่นกัน คือการสืบทอดและอนุรักษ์ลวดลายท้องถิ่นของศิลปะบาติกไว้บนผืนผ้า ที่ด้วยทั้งวิธีการทำและลวดลายนั้นดูแล้วเหมือนจะเรียบง่าย แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ไม่เพียงถ่ายทอดความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงเป็นเหมือนการสอดแทรกวิถีชีวิตและวัฒนธรรมพื้นถิ่นของชุมชนไว้ในเสื้อผ้าเหล่านี้ได้อย่างกลมกลืน และพร้อมที่จะสื่อสารถึงความโดดเด่น ตลอดจนกระบวนการสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนนี้ต่อไปยังผู้คน ผ่านผืนผ้า ลวดลาย และงานฝีมือได้ด้วย

Latest Posts

Don't Miss