เพราะซีรี่ส์แนว Slice of Life บอกเล่าเรื่องราววุ่นวายอลวนในแผนกดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในออฟฟิศย่านเพลินจิต ทำให้ชายหนุ่มสองสไตล์ต่างบุคลิกโคจรมาพบกัน แมน-ธฤษณุ สรนันท์ และ เบน-บัญญพนต์ ลิขิตอำนวยพร บอกเล่าถึงประสบการณ์ใหม่นี้กับแอล
โปรเจ็กต์ซีรี่ส์ ‘ค่อยๆ รัก Step by Step’ เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Dee Hup House และ Just Up โดยดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง ‘ค่อยๆ รัก’ ซึ่งเขียนโดย Summer December แค่แฟนคลับของผู้อ่านนิยายเรื่องนี้ทราบว่าจะมีการทำซีรี่ส์ขึ้นก็ทำให้ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ทันทีเมื่อปีก่อน รวมไปถึงเมื่อตอนแรกของซีรี่ส์ออกอากาศก็ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ในประเทศไทย รวมไปถึงอันดับ 2 ของเทรนด์โลกอีกด้วย
ซีรี่ส์เติมเต็มจักรวาลวายเรื่องนี้ใช้การร้อยเรียงกันของเรื่องราวในออฟฟิศแห่งหนึ่งในย่านเพลินจิต เมื่อเด็กใหม่ไฟแรงอย่าง ‘พัท’ ต้องได้มาใกล้ชิดคลุกคลีกับบอสสุดหล่ออย่าง ‘คุณเจ๋ง’ ที่มีความเฮี้ยบและเนี้ยบจนเกิดเป็นเรื่องราววุ่นๆ ที่หมุนเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์สุดพิเศษต่อกันไปเสียได้ “เมื่อลองไปแคสต์ดูแล้วปรากฏว่าเขาชอบ เพราะต้องไปเล่นเป็นเจ้านายที่มีความเนี้ยบ และผมไม่เคยเป็นมาก่อน” แมน–อดีตผู้เข้าแข่งขัน The Face Men Thailand ซีซั่น 1 ซึ่งต้องมารับบทคุณเจ๋งสารภาพ “แต่พอได้คุยกับพี่ผู้กำกับ (บัณฑิต สินธนภารดี) ก็เลยรู้สึกสบายใจมากขึ้น อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าตัวเองมีความคล้ายกับคุณเจ๋งหรือเปล่า หรือพอมีอะไรที่มาแมตช์กันได้” ส่วนหนุ่มเบนที่ถือว่าใหม่ในวงการแสดงมากกว่าแมนเสียอีกเผยว่า “ตอนแรกไม่คิดว่าผมจะได้เล่นบทพัท ผมไม่เคยมีประสบการณ์ด้านแอ็กติ้งมาก่อน มีแค่ถ่ายโฆษณาตอน ป.6 ผมรู้สึกว่ามันเป็นก้าวแรกของผมจริงๆ เลย เมื่อก่อนเคยแค่คิดว่าถ้าตัวเองเป็นนักแสดงจะเป็นอย่างไร ถ่ายแบบ เป็นนักดนตรีจะเป็นอย่างไร แต่พอมาได้เล่นเรื่องนี้ผมได้ทำทุกอย่างที่อยากทำหมดเลย ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดี (ยิ้ม)” ทั้งคู่ผ่านการต่อบทกับคนอื่นจากกระบวนการแคสติ้งที่กินเวลานานแรมปี กว่าจะได้โคจรมาพบกันซึ่งปรากฏว่าเคมีเข้ากันได้อย่างน่าประหลาดอย่างที่แอลเองก็ยังแอบสงสัยอยู่เหมือนกัน
‘ทุกอย่างเริ่มขึ้นจากเฉาก๊วยหกใส่รองเท้า’
เมื่อซีนเจอกันครั้งแรกเกิดจากความซุ่มซ่ามของพัทที่หิ้วของพะรุงพะรังจนถอยหลังไปชนกับคุณเจ๋งเข้า
แมน: “ผมอาจจะไม่ค่อยสังเกต แต่ตัวผมเองไม่ค่อยมีเหตุการณ์แบบนั้นเท่าไร ส่วนใหญ่สิ่งที่เกิดขึ้นจะมาจากการที่ผมคิด ประมวลทุกอย่าง แล้วเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นมากกว่า แต่ผมก็ว่าเรื่องของโชคชะตามันอาจมีส่วนแค่ 50 ส่วนอีก 50 คือส่วนที่เราตัดสินใจเอง”
เบน: “ส่วนผมมีครับ ตอนเด็กตอนเรียนที่กรุงเทพคริสเตียน ผมดื้อมาก ที่บ้านอยากให้ย้ายไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์เพื่อให้ได้ภาษา แต่ผมไม่ยอม เพราะเราชินกับที่เดิมที่เรียนมาตั้งแต่ ป.1 จนมา ม.4 แม่ผมเลยบังคับให้ผมไปเรียนที่แคนาดา 6 เดือนโดยไม่บอกก่อน จองตั๋วเครื่องบิน เตรียมอะไรไว้ให้เสร็จ ปกติผมเป็นคนพูดน้อย ชอบอยู่กับตัวเอง รู้สึกว่าทำอะไรคนเดียวมันมีความสุขดี พอไปที่นู่น จากที่ไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษเพราะไม่ค่อยมั่นใจก็ต้องพูดเพื่อใช้ชีวิตอยู่ให้ได้ พอดีกับได้เจอเพื่อนกลุ่มที่เล่นบาสฯ ด้วยกันซึ่งเป็นกลุ่มที่ดีมาก ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไปเลย ต้องขอบคุณแม่ที่จองตั๋วแล้วไม่บอก (หัวเราะ) เป็นจุดที่เราได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ พอลองทำในสิ่งที่ไม่กล้า แล้วผลลัพธ์กลับออกมาดี ได้เพื่อน ได้ภาษา ถ้าผมไม่ได้เปิดตัวเองตั้งแต่วันนั้น ผมอาจจะไม่ได้มารับงานตรงนี้เลยด้วยซ้ำ”
‘เจ๋งแค่เป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ ในฐานะผู้จัดการเขาต้องผลักดันลูกน้องที่มีศักยภาพ และเผอิญพัทมีสิ่งที่ว่า’
เมื่อบอสจอมโหดสุดเนี้ยบที่ละเอียดทุกเม็ดต้องมาคลุกคลีกับลูกน้องไฟแรงที่มีความคิดเป็นของตัวเอง
แมน: “จริงๆ ผมไม่ค่อยชอบใส่สูทเท่าไร (หัวเราะ) มันมีหลายอย่างที่ผมคงไม่ทำเหมือนคุณเจ๋งหากอยู่ในสถานการณ์เดียวกันด้วย แต่มันก็มีส่วนที่ผมสามารถเชื่อมกับเขาได้เหมือนกัน บางเรื่องผมอยากให้มันได้ดั่งใจเรามากที่สุด เวลาทำงานอะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจหรือเกิดมันมีอะไรที่เราควบคุมไม่ได้แล้วจะหงุดหงิด คือเราแปลนอะไรไว้เราก็อยากให้มันเป็นไปตามนั้น อาจจะเป็นเพราะช่วงวัยด้วยมั้งครับ ก่อนหน้านี้ผมชิลล์กว่านี้ ตอนนี้อาจจะซีเรียสขึ้นหน่อย”
เบน: “ผมโคตรเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์! ส่วนของผมมันออกมาอย่างเช่นถ้านัดเวลานี้ ต้องเวลานี้เป๊ะๆ สมมติถ้านัดเพื่อน 10 โมง ผมจะไปก่อนเวลาเลย เลยงงกับเพื่อนว่ามา 11 โมงเลยเหรอ ถ้าเป็นในกระเป๋าเรียนผมจะต้องเอาหนังสือเล่มใหญ่ปกแข็งไว้หลังสุด ถ้ามีแฟ้มต้องเรียงจากแฟ้มใหญ่แล้วค่อยเรียงไซซ์ลดหลั่นกันไป ถ้ามีกล่องดินสอต้องจัดวางของหันด้านนั้นด้านนี้ ผมค่อนข้างเครียดและอยากให้ทุกอย่างดูเพอร์เฟ็กต์ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่พอนานๆ ไปผมก็เริ่มสับสนแล้วถามตัวเองว่ามันไม่มีคำว่าเพอร์เฟ็กต์หรือเปล่า ต่อให้เราพยายามมากขนาดไหนให้มันเป๊ะ มันมักไม่ได้อย่างที่เราคาด จนเริ่มเรียนรู้ว่ามันได้เท่านั้นเท่านี้”
‘เป็นความหวังดีล้วนๆ ที่สักพักเจือปนด้วยความเอ็นดู รู้ตัวอีกทีก็ก้าวพรวดเข้าไปในความสัมพันธ์ต้องห้ามของหัวหน้าและลูกน้องเสียแล้ว’
เมื่อความรักผลิบานในออฟฟิศ จนเกิดความคิดต่างจิตต่างใจ
แมน: “ผมว่าเรื่องความรักมันห้ามกันยากนะ ถ้าคนสองคนรักกัน ไม่ว่าจะในฐานะนายกับลูกน้อง แต่ว่าต้องทำมันให้เหมาะสม ไม่ทำให้งานเสีย หรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน แตกแยกกัน ผมว่าถ้ามันเหมาะสมก็จะเป็นสิ่งที่สวยงามนะ ส่วนจะต้องแอบคบกันหรือเปิดเผยไปเลยก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าที่ทำงานนั้นๆ มีสิ่งแวดล้อมแบบไหน เขาเป็นอนุรักษนิยมหรือเปล่า ถ้าเปิดเผยไปเลยแล้วเขาจะคิดอย่างไร ปิดอาจจะเวิร์กกว่ามั้ย สำหรับผมถ้าให้เป็นแบบอุดมคติ การเปิดเผยไปเลยจะดีที่สุด ถ้าสิ่งแวดล้อมรอบข้างดี มีคนที่คอยซัพพอร์ต โดยรวมมันดี ทุกคนก็จะมีความสุข สวยงาม ส่วนเรื่องใครจะเอาไปเมาท์อะไรนั่นเราไม่สามารถไปห้ามได้”
เบน: “ผมว่าถ้าเป็นผม ผมคงเลือกที่จะไม่มีความรักในที่ทำงาน ถึงแม้ว่าจะรักไปแล้ว จะเลือกที่จะไม่ทำอะไรมากกว่า ผมรู้สึกว่าพอมันเป็นเรื่องงาน การไม่มีความสัมพันธ์ตรงนั้นมันจะดีกว่า เพราะอาจเกิดผลกระทบพอสมควร อาจเกิดการลำเอียง สมมติว่าผมเป็นหัวหน้า มีผู้ช่วยสองคน คนหนึ่งเป็นคนที่ผมชอบ อีกคนถึงแม้ว่าจะดีมาก แต่ผมอาจจะไปให้สิทธิพิเศษกับคนที่ชอบก็ได้”
‘ถ้าได้รู้จักกันแค่ผิวเผิน ก็คงไม่มีความหมายกับใจจนไม่อยากปล่อยให้หลุดมือไปขนาดนี้’
จากคนแปลกหน้าสู่ความสนิทสนมที่…ก็ดีนะ
จากแมนถึงเบน: “ผมว่าเบนเป็นน้องที่น่ารัก ตอนนี้เบนกลายเป็นน้องรักของผมไปแล้วคนหนึ่ง ตอนแรกเราค่อนข้างเกร็งๆ กัน มีช่องว่างระหว่างอายุด้วย เพราะเบนก็เพิ่ง 21 เองมั้ง ส่วนผมก็ 32 แล้ว บางทีก็ไม่รู้จะคุยอะไรกัน แล้วเราก็เป็นคนเงียบๆ ด้วยกันทั้งคู่ ตอนแรกยังคิดเลยว่าไม่รู้จะสนิทกันได้หรือเปล่า แต่ก็มาสนิทกันจนได้ เบนเป็นเด็กเรียนรู้เร็ว อยากจะฝากให้สู้ต่อไป ตั้งใจทำงาน และมีความสุขในทุกๆ วันครับ
จากเบนถึงแมน: “ตอนเจอกันผมค่อนข้างกลัวพี่เขา ผมว่าสูงแล้วพี่เขาสูงกว่าผมอีก แถมตัวก็หนา แล้วผมไม่รู้จักพี่เขามาก่อนเลย ตอนนี้อยากบอกขอบคุณที่ให้กำลังใจและคำแนะนำหลายๆ อย่าง มันช่วยผมได้เยอะมาก ตั้งแต่ตอนแรกที่เราทำฟิตติ้งด้วยกัน ผมเกร็งมาก ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ต้องวางมือตรงไหน ทำหน้าอย่างไร ยิ่งตอนถ่ายฟิตติ้งผมต้องแสดงออกเป็นพัทด้วย แค่ถ่ายปกติก็ยากสำหรับผมแล้ว พี่เขาบอกว่าอย่าคิดมาก เราทำได้ พอทำไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้วิธีของเราเอง จากนั้นทุกๆ ซีนที่เล่นด้วยกัน ผมก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เกร็งน้อยลง”
จากคุณเจ๋งถึงพัท: “พัททำดีแล้ว พัทเก่งมากครับ (อมยิ้ม)”
จากพัทถึงคุณเจ๋ง: “อยากให้เข้าใจพัทมากๆ หน่อย เพราะพัทมั่นใจในตัวเอง มีความคิดของตัวเองว่ามีวิธีที่ถูก มีโลกที่คิดว่าคนต้องมาเข้าใจ ยิ่งถ้าหัวหน้าที่มีความรู้ ดูเป็นคนสมัยใหม่ ก็ยิ่งคาดหวังให้มาเข้าใจ อยากให้พี่เจ๋งเข้าใจหน่อย อ่อนโยนหน่อยยยย (หัวเราะ) แต่จริงๆ ผมรู้แหละว่าเขาอ่อนโยน พอดีเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ ต้องการงานเป๊ะ จะมาเอาใจเราคนเดียวไม่ได้”