เผลอไม่ถึงอึดใจ หนึ่งในน้ำหอมที่กลายมาเป็นน้ำหอมระดับไอคอนิกของวงการน้ำหอมนิชอย่าง Baccarat Rouge 540 ของ Maison Francis Kurkdjian นั้นก็มีอายุครบหนึ่งทศวรรตเป็นที่เรียบร้อย เราเชื่อว่ากลิ่นหอมที่หาตัวจับได้ยากนี้ อยู่ในความทรงจำของหลายๆ คนในมุมมองใดมุมมองหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอมกลิ่นซิกเนเจอร์ กลิ่นหอมที่ยากจะคาดเดา รวมไปถึงการเป็นน้ำหอมที่เปิดประตูสู่โลกของน้ำหอมนิชให้หลายๆ คนได้เข้ามาดื่มด่ำกันทุกวันนี้ ในโอกาสครบรอบ 10 ปีอันยิ่งใหญ่ของน้ำหอมกลิ่นดังนี้ เราขอพาคุณไปพบกับเรื่องราวและความพิเศษของ Baccarat Rouge 540 กันอีกครั้ง ผ่านบทสนทนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เราได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้รังสรรค์และเจ้าของแบรนด์ สุคนธกรระดับโลกอย่างฟรองซิส เคิร์ดเจียออง ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เขาได้มาเยือนประเทศไทยอีกด้วย

ปรัชญาในการรังสรรค์น้ำหอมที่ Maison Francis Kurkdjian คืออะไร?
“ในแบรนด์ของผมนั้นเต็มไปด้วยอิสระในการสร้างสรรค์ แต่ละกลิ่นมาจากแรงบันดาลใจที่ผมมีหรือสิ่งใดที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผม และจุดเริ่มต้นของแต่ละกลิ่นนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับส่วนผสม มันมักจะอยู่เบื้องหลังเรื่องราวที่สร้างแต่ละกลิ่นมากกว่า อย่างกลิ่น Á la rose จริงๆ แล้วชื่อของน้ำหอมนี้มาจากชื่อภาพวาดมารี อองตัวเน็ตกำลังถือดอกกุหลาบในศตวรรษที่ 18 เป็นยุคสมัยที่พึ่งเริ่มเพาะพันดอกกุหลาบเซนทิโฟเลีย จึงพูดได้ว่าน้ำหอมแต่ละกลิ่นนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ และส่วนผสมแต่ละอย่าง ก็ช่วยประกอบร่างมันให้สมบูรณ์”
“อย่างกลิ่นล่าสุด Kurky นั้นมากับโทนกลิ่นที่แตกต่างออกไปจากกลิ่นหอมก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็น Á la rose หรือแม้แต่ Baccarat Rouge 540 และก็มาจากเรื่องราวที่แตกต่างออกไปเช่นกัน เป็นการตีความและรังสรรค์ตามมุมมองของสุคนธกรโดยสมบูรณ์”
คุณผสมผสาน ‘French Touch’ ลงไปในแต่ละผลงานของคุณอย่างไรบ้าง?
“อาจจะเพราะผมเป็นคนฝรั่งเศสมั้งครับ (หัวเราะ) ผมอาศัยอยู่ที่ปารีส ผมเกิดและโตที่ฝรั่งเศสมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ผมจะเดินทางทั่วโลกหรือเคยไปอาศัยอยู่ที่ประเทศอื่นๆ อยู่บ้าง แต่ตัวตนของผมถูกสร้างขึ้นที่ปารีส ผมเลยเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำหรือสร้างสรรค์ออกมานั้นมีความเป็นฝรั่งเศสอยู่ไม่น้อย จริงๆ แล้วมันยากที่จะบอก ว่าสิ่งไหนมีความ ‘เป็นฝรั่งเศส’ หรือสิ่งไหนไม่เป็น แต่สิ่งที่อาจจะนิยามมุมมองความเป็นฝรั่งเศสได้สำหรับผม ก็คือรสนิยมและความชื่นชอบในงานฝีมือ ไลฟ์สไตล์ หรืออาหารการกิน เรามองหาสิ่งที่จะสร้างความสุขในภาพรวมให้กับเราได้ และผมเชื่อว่าทุกอย่างที่เล่ามามันผสมผสานอยู่ในตัวตนของผมอย่างลงตัว แต่ละผลงานของผมจึงออกมาพร้อมกับกลิ่นอายความเป็นฝรั่งเศส”

ในโอกาสครบรอบ 10 ปีของ Baccarat Rouge 540 เรามาย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของกลิ่นหอมสุดอคอนิกนี้กันสักหน่อย
“ในช่วงปลายปี 2013 ผมได้พบกับผู้บริหารของ Baccarat บริษัทคริสตัลระดับโลกที่กรุงปารีส เธอให้โจทย์กับผมให้รังสรรค์กลิ่นของ Baccarat ใส่จิตวิญญาณของ Baccarat ลงในขวด หนึ่งในผลงานคริสตัลที่ Baccarat รังสรรค์นั้นก็คือขวดน้ำหอม เธอรู้สึกว่าตอนนี้เธอมีขวดน้ำหอมแล้ว แต่ยังขาดเพียงแค่กลิ่นหอมที่สะท้อนถึงความเป็น Baccarat ณ ตอนนั้น นอกจากเรื่องราวประวัติของแบรนด์และความเชี่ยวชาญในการทำคริสตัลแล้ว ผมมีความรู้เรื่องของการทำคริสตัลน้อยมาก หลังจากได้กลับมาคิดถึงองค์ประกอบต่างๆ แล้ว ผมจึงถามเพิ่มเติมไปถึงว่าสีประจำ Baccarat คือสีอะไร เธอตอบกลับมาว่า ‘สีแดง’ เพราะพวกเขามีสิทธิบัตรในการทำคริสตัลสีแดง โดยวิธีของพวกเขาคือการคือการผสมผสานระหว่างคริสตัลใสและผงทอง 24 กะรัต และนำไปเผาในความร้อน 540 องศาเซียลเซียส ผลลัพธ์ที่ได้คือคริสตัลใสจะเปลี่ยนสีเป็นคริสตัลสีแดงเช่นเดียวกับขวดน้ำหอม ผมมองว่ามันคือเวทย์มนต์นะ ความน่าสนใจก็คือคริสตัลนั้นมีน้ำหนักมากกว่าแก้วธรรมดาทั่วไป ใสกว่า หนาแน่นกว่า และเล่นแสงมากกว่า มันจึงเป็นวัสดุที่เต็มไปด้วยความปฏิพากย์ และนั่นทำให้มันยิ่งน่าสนใจ”
ต้องยอมรับว่า Baccarat Rouge 540 นั้น กลายมาเป็นน้ำหอมกลิ่นไอคอนิกที่โด่งดั่งไปทั่วโลก ในฐานะผู้สร้างกลิ่นหอมนี้ คุณรู้สึกอย่างไรกับความสำเร็จครั้งนี้?
“อย่างแรกต้องขอบคุณทุกคนที่เข้าใจความหมายที่มีอยู่ในผลงานที่ผมสร้างขึ้นมานี้ ความสำเร็จของแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงผู้สร้างสรรค์ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของคนอื่นๆ ว่าคุณกำลังทำอะไร หรืออยากสื่อสารอะไรออกไป และพวกเขาชอบในสิ่งที่คุณทำ สำหรับผมแล้ว การยอมรับในรูปแบบนี้ เป็นรูปแบบที่ดีที่สุดที่เราจะรับไว้ได้ ผมและทีมงานทำงานกันหนักมากเพื่อสร้างผลงานชิ้นนี้ออกมา การยอมรับและความสำเร็จนั้นมันช่วยสร้างความรู้สึกที่ได้เติมเต็มและเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก”
“ผมรู้สึกดีใจแทนทีมงานของผม และก็รู้สึกโล่งอกที่ผลงานชิ้นนี้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากที่เมื่อคุณสร้างผลงานบ้างอย่างขึ้นมาและคุณมองหาผู้ชมที่เหมาะกับมัน ผมรังสรรค์น้ำหอม เพียงเพราะว่าผมต้องการรังสรรค์มันขึ้นมา และผมรังสรรค์น้ำหอมของผมขึ้นมาเพราะผมมองว่ามีคนที่ต้องการมันอยู่ ถึงแม้จะไม่ต้องการพวกเขาก็จะชื่นชอบมัน”

ทำไม Baccarat Rouge 540 ถึงกลายเป็นกลิ่นที่หาตัวจับได้ยาก ในความคิดของคุณ?
“ผมมองว่าน้ำหอมกลิ่นนี้โดดเด่นตั้งกระบวนการรังสรรค์ที่เราทำกันอย่างพิถีพิถัน รวมไปถึงคุณภาพของส่วนผสม และแน่นอนอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ความจริงใจและความเป็นตัวของตัวเองของกลิ่นหอมนี้ เป็นอีกองค์ประกอบที่ทำให้มันโดดเด่นออกมา โดยไม่เหมือนใคร และไม่สามารถมีใครเหมือนได้”
ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ของน้ำหอม Baccarat Rouge 540 เราได้ยินมาว่าคุณจับมือกับ Baccarat อีกครั้งเพื่อรังสรรค์ผลงานชิ้นพิเศษอย่าง ‘Baccarat Rouge 540 Rouge Millèsime’ ช่วยเล่าถึงผลงานชิ้นนี้ให้เราฟังหน่อย
“ ระยะเวลา 10 ปีนั้นเป็นเป็นตัวเลขที่โดดเด่นมากสำหรับเรา ผมเลยอยากจะสร้างชิ้นงานที่โดดเด่นและมีความสดใหม่ อย่างไรก็ตาม เวลาที่ทาง Baccarat จะสร้างชิ้นงานใหม่ขึ้นมา เรามักจะได้เห็นชิ้นงานชิ้นใหญ่ที่เต็มไปด้วยความตระการตาและมีน้ำหนัก แต่ครั้งนี้ผมได้อธิบายความต้องการออกไปอย่างเจาะจง ผมต้องการสร้างชิ้นงานในขนาดกะทัดรัดและมีน้ำหนักเบา ความกะทัดรัดนั้นก็สวยงามได้ ความเบาก็เช่นกัน Baccarat Rouge 540 Rouge Millèsime นั้นจึงออกมาในรูปแบบที่ ‘น่ารัก’ และเป็นที่ต้องการของหลายๆ คน”
“ในเวลาเดียวกัน ผมก็ได้บอกทีมของผมอย่างเจาะจงเกี่ยวกับน้ำหอมเช่นกัน ผมต้องการน้ำหอมที่คุณสามารถพกพาไปด้วยได้ ไซส์ที่สามรถใส่ลงในกระเป๋าของผู้หญิงที่ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ ในสมัยนี้ได้ ส่วนเรื่องของกลิ่นนั้น เรารู้ว่าผลงานชิ้นนี้จะมาในจำนวนจำกัด ผมจึงรังสรรค์กลิ่นหอมที่พิเศษยิ่งขึ้น กลิ่นหอมที่ไม่สามารถรังสรรค์ขึ้นเป็นจำนวนมากได้ จึงทำให้ผมเลือกใช้ส่วนผสมที่แตกต่างออกไปอย่าง Ambergris ทำให้กลิ่นหอมครั้งนี้แตกต่างออกไป และน่าเก็บสะสม”


ในยุคที่วงการน้ำหอมมีความหลากหลายมากขึ้นอย่างชัดเจน คุณทำอย่างไรให้แบรนด์ของคุณยังคงโดดเด่น
“ความจริงใจและความเป็นตัวของเราเอง ทั้งผมและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของผมอย่าง Marc Chaya เห็นตรงกันในจุดนี้ ผมคิดว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์โดดเด่น เราไม่พยายามจะเป็นคนอื่น ไม่เปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่นๆ และผมเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์กลิ่นหอมแต่ละกลิ่นในทุกขั้นตอน สร้างสรรค์อย่างพิถีพิถัน จนได้กลิ่นที่เป็นเรามากที่สุด บางครั้งมันอาจจะเหนื่อยสักหน่อย แต่มันเป็นเป็นสูตรสู่ความสำเร็จที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับผม”
ได้ยินว่าคุณกำลังจะมีนิทรรศการที่ปารีสในช่วงปลายปีอย่าง ‘Perfume, Sculpture Invisible. 30 Years of Artistic Creation by Francis Kurkdjian’ ช่วยเล่าเรื่องราวของนิทรรศการนี้ให้เราฟังหน่อยได้ไหม?
“นิทรรศการนี้แบ่งออกเป็น 5-6 ส่วน และเเต่ละชิ้นงานที่นำมาจัดแสดงนั้น ในจุดหนึ่ง เป็นเเรงบันดาลใจให้กับน้ำหอมกลิ่นต่างๆ ของ Maison Francis Kurkdjian ที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามนิทรรศการนี้จะไม่ได้กล่าวถึงน้ำหอมเป็นหลัก แต่หลังจากคุณได้ชมนิทรรศการนี้ คุณจะเข้าใจได้ว่าพระราชวังเเวร์ซายกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงานของผมได้อย่างไร การที่เสียงดนตรีนั้นกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์น้ำหอมสักกลิ่น หรือการที่ผมได้แรงบันดาลใจจากงานฝีมือต่างๆ และนำมาสร้างกลิ่นหอมในแบรนด์ หัวใจหลักของนิทรรศการคือความสัมพันธ์ที่แข็งแรงของศิลปะหลากหลายแขนงกับแบรนด์ Maison Francis Kurkdjian”

