ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์มักอยู่แค่เพียงชั่วขณะหนึ่ง เหล่าแบรนด์ดังย่อมรู้ดีถึงความจริงที่ว่านี้ ทว่าความท้าทายยิ่งกว่าคือการดึงตัวเองขึ้นมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผ่านการตีความตามยุคสมัย กลยุทธ์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร พร้อมการคาดเดาใจคอแฟชั่นในยุคปัจจุบัน
#1 SCHIAPARELLI (YEAR OF BIRTH: 1927)
หากย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน ทั่วโลกต้องตื่นตะลึงกับ Lobster Dress รวมถึงบรรดาชุดและเครื่องประดับมากมายที่มีพื้นฐานจากศิลปะแนวเซอร์เรียลลิสม์ ด้วยความที่ Elsa Schiaparelli เธอมีเพื่อนรอบตัวเป็นศิลปินและนักคิดนักเขียนใหญ่ อย่าง Salvador Dalí, Jean Cocteau และ Leonor Fini แม้ความนิยมของเธอจะเสื่อมลงไปในช่วงหลังสงครามโลกครั้ง 2 คงเหลือไว้แต่ธุรกิจน้ำหอมที่ตั้งขึ้นในปี 1957 ด้วยวิสัยทัศน์ของ Diego Della Valle จาก Tod’s Group ที่ตัดสินใจเทกโอเวอร์ทั้งไลน์น้ำหอมและเสื้อผ้าของเมซงแห่งนี้ตอนปี 2006 ก่อนที่ทางส่วนของเสื้อผ้าจะทำแค่แนวกูตูร์อย่างเดียวโดยเริ่มจากปี 2014 ผ่านการตีความตามดีเอ็นเอของ Schiaparelli ด้วยมุมมองของดีไซเนอร์ทั้ง Christian Lacroix, Marco Zanini, Bertrand Guyon ก่อนจะถึงมือของหนุ่มนักออกแบบจากเท็กซัส Daniel Roseberry ในปี 2019 ที่ฟื้นชีวิตให้แบรนด์ที่ถูกลืมนี้กลับมาอยู่ในกระแสโลก มากกว่าการแค่ถูกบรรจุเป็น 1 ในสมาชิกของสมาพันธ์การตัดเย็บชั้นสูงของฝรั่งเศสในปี 2017 ให้พื้นที่ทั้ง 5 ชั้นของตึกนีโอคลาสสิก ณ เลขที่ 21 จัตุรัสว็องโดมกลับมาเปี่ยมมนตร์ขลัง สถานที่ที่เหล่าแฟชั่นอินไซเดอร์อยากไปเยี่ยมเยือนสักครั้งในชีวิต


“หลายคนบอกว่า ‘การปลุกชีพแบรนด์เหล่าเนี้ยมันไม่เวิร์กหรอก’ แดเนียลเผยกับ ELLE US “หรือประมาณว่า ‘มีหลายคนลองปลุกปั้นกับเฮ้าส์แห่งนี้มาแล้วนะ แล้วการตีความออกมาตามโค้ดของแบรนด์มันก็ดูจะยุ่งยากเกินไป’ แต่ผมไม่ได้นึกถึงในเชิงกลยุทธ์เลย ผมมองชีวิตเหมือนเกมหมากรุก อาชีพนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่จ่ออยู่ตรงหน้าแล้ว สัญชาตญาณบอกว่าผมต้องทำให้ได้” ท้ายที่สุดแดเนียลทำให้ Schiaparelli กลายเป็นแบรนด์ที่ทุกคนตั้งตาคอยประจำสัปดาห์แฟชั่นของปารีส ถูกรีเควสต์ประจำพรมแดงมากที่สุด และสร้างไวรัลในฟีดอินสตาแกรมได้เสมอ ตั้งแต่ Lady Gaga ในชุดกาวน์ตกแต่งเข็มกลัดนกพิราบที่พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ Joe Biden, ชุดหัวสิงโตที่ใส่โดย Kylie Jenner ไปจนถึงการรังสรรค์สร้อย Beating Heart ในชุดกลับหลังสีแดงประจำคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ Fall/Winter 2025


#2 COURRÈGES (YEAR OF BIRTH: 1961)
แรกเริ่มจากการเป็นกูตูร์เฮ้าส์ โดย André Courrèges และพาร์ทเนอร์ที่ต่อมากลายเป็นภรรยาอย่าง Coqueline Courrèges ในช่วงยุค ‘60s – ‘70s อองเดรนำพากลิ่นอาย space age มาเอาใจสาวๆ แห่งยุค ก่อนที่จะขยับขยายเป็นไลน์เสื้อผ้าเรดี้-ทู-แวร์ในปี 1967 พร้อมกับได้รับการขนานนามว่าเป็นดั่ง Le Corbusier ในงานกูตูร์ ด้วยชื่อเสียงจากมินิเดรสเอไลน์ การตัดเย็บด้วยไวนีลเนื้อเงา การเน้นสีแนวโมโนโครม รวมถึงงานคัตติ้งเฉียบคมที่ผ่านการคิดคำนวณให้เข้ากับสรีระ แบรนด์ Courrèges ผัดเปลี่ยนผู้ถือครองหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะค่าย L’Oréal ของฝรั่งเศส, Itokin ของญี่ปุ่น ก่อนจะถึงมือ Groupe Artémis (ในเครือของตระกูล Pinault) ตั้งแต่ปี 2015 จนถึงปัจจุบัน


Nicolas de Felice คือตัวละครลับผู้โผล่มารับหน้าที่อาร์ทิสติก ไดเร็กเตอร์คนใหม่ในปี 2020 ท่ามกลางวิกฤตของโควิด-19 นักออกแบบจากเบลเยี่ยมรายนี้เป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าสนใจยิ่ง พร้อมพกประสบการณ์การทำงานเคียงข้าง Nicolas Ghesquière ที่ Balenciaga และ Louis Vuitton “พื้นอพาร์ตเมนต์ผมเต็มไปด้วยภาพกองพะเนินที่สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ผมกำลังจะทำกับ Courrèges แต่ทางบริษัทบอกว่าไม่ต้องเอาสิ่งเหล่านั้นไปให้ดูหรอก ให้โชว์โปรเจ็กต์ของผมที่คิดเอาไว้ก็พอ ผมเลยเขียนจดหมายแนะนำตัวผม พยายามเลือกหาคำที่จะบอกว่างานด้านวิชวลเป็นหัวใจหลักของการทำงาน” นิโกลาส์เผยถึงสาเหตุที่ได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดกับ ELLE France แต่ละชิ้นงานฝีมือเขานอกจากจะสะท้อนความเป็นแบรนด์ออกมาได้อย่างชัดเจน ยังสามารถเข้ากับยุคสมัยในชนิดที่ว่าแม้แต่เหล่าไอดอลเค-ป๊อปยังเลือกเอาไปสวมใส่ ไม่ว่าจะแค่เสื้อยืดสกรีนลาย หรือครอปแจ็กเกตจากไวนีลวาววับอันเป็นชิ้นสเตตเมนต์ “ที่ Courrèges ผมมีความรู้สึกว่าต้องเก็บทุกอย่างของแบรนด์เอาไว้ แต่ก็ต้องรื้อสร้างใหม่หมดด้วยเหมือนกัน”


#3 MUGLER (YEAR OF BIRTH: 1973)
Thierry Mugler ย้ายรกรากจากเมืองสตราสบูร์กสู่ปารีสในปี 1968 ก่อนที่จะสร้างคอลเล็กชั่นแรกของตัวเองในปี 1973 ต่อด้วยเปิดบูติกแรกของตัวเองในปี 1978 ที่ Place des Victoires ภาพลักษณ์ของแบรนด์คือการนำเสนอเสื้อผ้าที่เป็นดั่งงานศิลปะและประติมากรรม ถ่ายทอดความงามของผู้หญิงผู้อยู่ในตำแหน่งสูงสุด ในรูปแบบของสิ่งมีชีวิตลึกลับ ความยั่วยวนใจ และรูปแบบอันชวนตกตะลึงพรึงเพริด ด้วยแนวคิดสุดอาวองต์-การ์ดพร้อมการตัดเย็บแนวเทเลอริ่งสุดพิถีพิถัน แม้ผ่านยุคทองมาแล้วหลายช่วง ผลงานของเขาผ่านการนำเสนอของเหล่าซูเปอร์โมเดลระดับไอคอนและคนดังจากยุค ‘80s-‘90s มาแล้วมากมาย ทว่าในช่วงปี 1990 กลุ่ม Clarins ค่อยๆ กว้านซื้อหุ้นของแบรนด์ก่อนจะถือหุ่นใหญ่ในปี 1997 แล้วค่อยๆ หายตัวไปจากซีนแฟชั่นโลกเนื่องด้วยทางกลุ่ม Clarins มองว่าไม่ทำกำไร แต่ในส่วนของน้ำหอมกลับทำได้ดีกว่า จากนั้นทางเครือ L’Oréal เทคโอเวอร์ต่อและพยายามฟื้นคืนแบรนด์ขึ้นมาพร้อมกับร่วมงานกับคนดังมากมายซึ่งรวมถึงการใช้พลังแห่งเค-ป๊อปอย่างวง BLACKPINK

Nicola Formichetti เข้ามารับหน้าที่ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ ในปี 2010 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อให้เหลือแต่คำว่า Mugler ต่อด้วย David Koma, Casey Cadwallader และล่าสุดในปีนี้อย่าง Miguel Castro Freitas โดยก่อนที่จะถึงมือดีไซเนอร์ชาวโปรตุเกสรายนี้ เคซี่ แคดวัลเลเดอร์ ได้นำแบรนด์กลับมาโลดแล่นได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งรันเวย์โชว์ตื่นตาตื่นใจ การแคสติ้งเฟซภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่มีความ inclusive รวมถึงการเลือกใช้ซิลูเอตในแบบ ultra sexy ที่ทั้งร่วมสมัยและละเมียดละไมในการตัดเย็บ การเผยคอลเล็กชั่นแรกด้วยฝีมือมิเกลสำหรับ Spring/Summer 2026 ที่จะถึงในช่วงเดือนกันยายนนี้จึงเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ของแบรนด์ที่ถือว่าเข้ารูปเข้ารอยอยู่แล้ว ตัวมิเกลเผยว่า “Mugler เป็นแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้สานต่อมรดกนี้ และตื่นเต้นที่จะได้นำแนวคิดใหม่ๆ มาสู่แบรนด์” ด้านโปรไฟล์ในสายอาชีพที่ยาวเป็นหางว่าว ไม่ว่าจะที่ Dior สมัย John Galliano, Yves Saint Laurent สมัย Stefano Pilati, Lanvin สมัย Alber Elbaz, ดูแลฝ่ายงานเทเลอร์ของ Dior โดย Raf Simons ก่อนจะย้ายมาดูแลเสื้อผ้าสตรีที่ Dries Van Noten และ Sportmax ทิศทางของ Mugler ต้องเป็นที่คาดหวังอย่างสูงเป็นแน่


#4 CROCS (YEAR OF BIRTH: 2002)
แบรนด์ฟุตแวร์สัญชาติอเมริกันจาก 3 มันสมองหลัก Scott Seamans, Lyndon Hanson และ George Boedecker Jr. ผู้ต้องการรองเท้าจากวัสดุโฟมที่สวมใส่สบายและมีน้ำหนักเบา เมื่อเปิดตัวโมเดลแรก 200 คู่ในฟลอริด้าก็จำหน่ายหมดภายในทันที ระหว่างทางแห่งการดำเนินธุรกิจรองเท้า Crocs มักเดินสวนทางกับโลกแฟชั่นมาโดยตลอด ในปี 2005 ถึงกับออกแคมเปญ ‘Ugly Can Be Beautiful’ เพื่อลบล้างแนวคิดการมองความงามแบบเดิมๆ (ซึ่งต่อมาภายหลัง ใครเลยจะรู้ว่าการร่วมงานกับ Balenciaga ในยุคของ Demna ผู้มีมุมมองต่อความงามไม่ไกลกันนัก จะทำให้แบรนด์โด่งดังเป็นพลุแตก) อย่างไรก็ดี Crocs ก็ถือเป็นแบรนด์รองเท้าที่มี anti-fans มากมายท่ามกลางกระแสความนิยม Tim Gunn กูรูแฟชั่นคนดังกล่าวว่าเหมือน “กีบเท้าสัตว์ที่เป็นพลาสติก พวกคุณใส่มันได้จริงๆ น่ะเหรอ?” ส่วนนิตยสาร Time ก็ถึงกับมอบตำแหน่ง 1 ใน 50 นวัตกรรมยอดแย่ ในปี 2010 บริษัทผู้ผลิตถึงช่วงตกต่ำจากวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 2008 ทั้งที่เพิ่งได้ลิขสิทธิ์เครื่องประดับรองเท้า JIBBITZ™ มาเสริมทัพสร้างลูกเล่นให้กับรองเท้าในปี 2006 ก่อนจะกลับมาเฉิดฉายได้อีกครั้งในปี 2017 ที่มียอดจำหน่ายสูงถึงปีละ 300 ล้านคู่ เกิดไอเดียสร้างแคมเปญ ‘A Free Pair for Healthcare’ มอบรองเท้าสวมใส่สบายนี้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ฟรีในช่วงโควิด – 19 กลายเป็นแบรนด์รองเท้าขวัญใจกลุ่มแพทย์-พยาบาล รวมถึงบุคคลทั่วไปที่ต้องการรองเท้าอะไรก็ได้เพื่อสวมใส่ในบ้านช่วงวิกฤตโรคระบาดโดยไม่ต้องสนใจความสวยงามอะไรให้มากนัก

Crocs มีที่ทางในวงการแฟชั่นมากขึ้นจากการได้ทำงานคอลลาบอเรชั่นกับแบรนด์ดังมากมาย จากแค่รองเท้าคล็อกยางหน้าตาพิลึกพิลั่น ที่น่าจะเอาไว้แค่ใส่ลุยฝน ทนดินโคลนทราย สู่ผลงานชวนตะลึง ไม่ว่าจะจาก Christopher Kane, KFC, Chinatown Market, Balenciaga, Liberty London ฯลฯ ไม่นับรวมถึงภาพสุดไวรัลของ Justin Bieber กับ Crocs X Balenciaga ที่พรมแดงของงานประกาศรางวัลแกรมมี่ และ Nicki Minaj โป๊สุดแรงเกิดแบบไร้เสื้อผ้า พึ่งพาแต่แอ็กเซสเซอรี่ส์เต็มร่างและรองเท้า Crocs สีชมพูช็อกกิ้งพิงก์ แถมล่าสุดยังสร้างเสียงฮือฮาด้วยการได้ Millie Bobby Brown มาอวดท่วงท่าแสนผ่อนคลายท่ามกลางบรรยากาศสุดหรูหราในแคมเปญตัวล่าสุดของแบรนด์ “มันไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องลุคเท่าไหร่ ฉันสนใจในส่วนที่มันสวมใส่ง่ายและมอบความสะดวกสบายมากกว่า” เธอเผยความรู้สึกกับ ELLE US


#5 UNGARO (YEAR OF BIRTH: 1965)
Emanuel Ungaro ตัดสินใจสร้างแบรนด์ของตัวเองหลังจากผ่านการฝึกปรือฝีมือกับ Cristóbal Balenciaga และ André Courrèges ตอนนั้นกระแส space age ก่อตัวแข็งแกร่งทั้งจาก André Courrèges เอง, Pierre Cardin หรือรวมทั้ง Paco Rabanne ผลงานที่ออกมานั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเอมานูเอลนั้นได้อิทธิพลมากจาก Courrèges เป็นอย่างมาก ก่อนจะหาที่ทางอันเป็นลายเซ็นของตัวเองจากลายพิมพ์สีสันสดใส การใช้เลเยอร์และวอลูม ชุดสำหรับงานกลางคืนของเขามีความสดใหม่ เน้นช่วงชายกระโปรงที่สูงขึ้นเพื่อโชว์เรียวขา สไตล์ของเขายังเป็นที่จดจำในเวลาถัดมา โดยเฉพาะช่วงยุค ‘70s – ‘80s ที่เขามักเล่นกับสัดส่วน งานจับระบายใหญ่เบิ้ม และงานพิมพ์ลายที่เด่นชัดมากขึ้น หายนะก่อตัวเมื่อเขาตัดสินใจเกษียณตัวเองตอนปี 2005 พร้อมการเข้ามาเทคโอเวอร์ของนักธุรกิจจาก Silicon Valley นามว่า Asim Abdullah โดยมีดีไซเนอร์สับเปลี่ยนกันมาเล่นเก้าอี้ดนตรี อาทิ Vincent Darré, Peter Dundas และ Esteban Cortazar


ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดที่ทางแบรนด์ดึงตัวเอา Lindsay Lohan มาเป็นอาร์ทิสติก ไดเร็กเตอร์เพื่อทำงานคู่กับ Estrella Archs ในเวลาต่อมา และผลที่ออกมาก็ยิ่งทำให้แบรนด์ระดับตำนานดิ่งลงเหว เอมานูเอลกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า “การทำคอลลาบอเรชั่นกับลินด์เซย์ โลฮานคือหายนะ ผมโกรธมากแต่ก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ทำอะไรได้แล้ว แบรนด์เริ่มเสียจิตวิญญาณของตัวเองไป… ซึ่งนั่นก็เกิดขึ้นกับดีไซเนอร์หลายๆ คนนั่นแหละ พวกเราเป็นนักสร้างสรรค์ เป็นเจ้าของแบรนด์ที่ต้องรับผิดชอบต่อผลงานที่ออกมาและทิศทางการเดินหน้าของแบรนด์ เมื่อใดที่เราหมดใจกับการทำแบรนด์แล้ว จิตวิญญาณเราก็มอดลงไปด้วย” ในปี 2012 บริษัทอิตาเลียน Aeffe มารับช่วงต่องานโปรดักชั่นและจัดจำหน่ายสินค้าของ Ungaro ทั้งหมด มีการเปลี่ยนตัวครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์จาก Giles Deacon มาเป็น Fausto Puglisi และ Marco Colagrossi ตามลำดับ ล่าสุดบริษัทสื่อดิจิทัลอเมริกันอย่าง Puck มีรายงานออกมาว่า Law Roach สไตลิสต์ชื่อดังพร้อมกลุ่มทุนของเขากำลังพยายามเสนอตัวเข้ามาปลุกปั้น Ungaro ให้กับมารุ่งโรจน์อีกครั้งเหมือนดั่งที่ Schiaparelli และ Courrèges ทำได้ ยิ่งถ้าได้คนดังระดับแม่เหล็ก คู่บุญของลอว์อย่าง Zendaya และ Celine Dion มาช่วยผลักดันโอกาสนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเย็นนัก



