Friday, October 24, 2025

เผยโฉมเครื่องประดับชั้นสูงสุดเปล่งประกายของ Chopard ในคอลเล็กชั่น Insofu

อุทิศความทุ่มเทและความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์คอลเล็กชั่นผลงานเครื่องประดับและเรือนเวลาด้วยความยั่งยืน ทั้งยังคงหลอมรวมความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมืออันเชี่ยวชาญในแบบต้นตำรับของ Chopard ที่ในล่าสุด เมซงได้เผยโฉมเครื่องประดับชั้นสูงแห่งความยั่งยืนอย่าง Insofu Collection ในฐานะหนึ่งในผลงานอันแสนพิเศษที่สะท้อนถึงแนวทางการรังสรรค์เครื่องประดับจากธรรมชาติ และการให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาซึ่งสืบหาได้และมีความรับผิดชอบ เพื่อรับประกันได้ถึงความหรูหราอันยั่งยืนโดยแท้จริงที่เมซงแห่งนี้อุทิศการทำงานให้มาโดยตลอด

นับเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของเมซง ที่ Chopard ได้ก้าวเข้าสู่การรังสรรค์คอลเล็กชั่นเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง หรือ Haute Joaillerie บนพื้นฐานของความหรูหราอันยิ่งยืน ด้วยการคัดสรรและประดับตกแต่งด้วยอัญมณีดิบเพื่อให้ธำรงรักษาไว้ซึ่งเส้นทางของการรับประกันได้ถึงแหล่งที่มาที่แท้จริงของอัญมณีเหล่านั้น รวมถึงยังมอบโอกาสในการได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับเหล่าเหมืองและผู้ส่งมอบอัญมณีให้กับเมซงได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงกับปณิธานของเมซงในการรังสรรค์ผลงานที่มีความยั่งยืน

สำหรับคอลเล็กชั่น Insofu มีจุดเริ่มต้นในปี 2022 ณ กรุงปารีส เมื่อ Caroline Scheufele ประธานร่วมและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ของ Chopard ได้เผยโฉมมรกตดิบ 6,225 กะรัต ซึ่งขุดพบในแซมเบีย โดยคนของเหมืองได้ตั้งชื่อให้ว่า Insofu ซึ่งมีความหมายว่า ‘ช้าง’ ในภาษาเบมบาท้องถิ่น เพราะมีรูปทรงเหมือนกับงวงช้างและมีขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน อัญมณีนี้จึงเป็นที่มาของการรังสรรค์คอลเล็กชั่นไฮจิวเวลรี่ Insofu ของเมซงในเวลาต่อมา โดยเป็นตัวแทนถึงความพิเศษและหายาก เช่นเดียวกับสะท้อนถึงการเป็นอัญมณีดิบที่แบรนด์ตั้งใจที่จะรังสรรค์สู่เครื่องประดับอันน่าทึ่งและมีความยั่งยืนโดยแท้  

หลังจากที่บทแรกของ Insofu Collection ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมาในระหว่างสัปดาห์การประกาศผลรางวัล Oscars จากผลงานของเซตเครื่องประดับสร้อยคอ คู่ของตุ้มหู และแหวนประดับด้วยมรกตมาแล้วนั้น ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และกลายเป็นที่ถวิลหาของเหล่านักสะสมและผู้ที่หลงใหลในเครื่องประดับ รวมถึงอัญมณีหายากอันแสนพิเศษ และในปีนี้ Chopard จึงได้เผยโฉมบทใหม่ของคอลเล็กชั่นนี้ที่ประกอบขึ้นด้วยชิ้นงานอันหรูหราวิจิตรถึง 15 ชิ้นงาน ทั้งคู่ของตุ้มหูทั้งหมด 5 คู่ สร้อยคอ 4 เส้น แหวน 3 วง สร้อยข้อมือ และนาฬิกาประดับอัญมณี ที่แต่ละผลงานสะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันของมรกต Insofu และยังได้รับอิทธิพลมาจากเส้นสายอันลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ พร้อมทั้งรูปแบบเชิงนามธรรมผสมผสานกับความสง่างามหรูหราของสไตล์อาร์ตเดโคไว้ได้อย่างสมบูรณ์

หัวใจของคอลเล็กชั่นนี้ยังต้องยกให้กับชิ้นงานจี้รูปช้างซึ่งอุทิศให้กับชื่อ Insofu โดยชิ้นงานนี้ประดับไว้ด้วยมรกตในหลากหลายรูปทรงและขนาด ล้อมด้วยเพชรอันแวววาวที่สร้างรูปเป็นเหมือนงาช้าง จี้นี้ยังมาพร้อมกับสายสร้อยโซ่แบบยาวประดับสลับกันระหว่างมรกตและเพชร ส่วนงวงช้างยกสูงขึ้นซึ่งเป็นท่าทางอันสมบูรณ์ในเชิงสัญลักษณ์ที่สื่อถึงพลัง รวมถึงเป็นตัวแทนแห่งความรุ่งเรืองและโชคดี สำหรับ Insofu ยังมีชิ้นงานอีกหลากหลายที่สะท้อนถึงเรื่องราวแห่งความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน และจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์อันเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ พร้อมทั้งการมอบความสวยงามที่ไร้กาลเวลาให้กับผู้ซึ่งหลงใหลในขุมทรัพย์แห่งผืนดินและธรรมชาติเหล่านี้อย่างแท้จริง 

นอกจากนโยบายด้านความยั่งยืนและจริยธรรมในการรังสรรค์ความหรูหราอย่างรับผิดชอบแล้ว Chopard ยังเป็นผู้บุกเบิกการใช้ Provenance Proof’s Emerald Paternity Test ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Gübelin Gem Lab ผ่านวิธีการอันล้ำสมัยซึ่งเกี่ยวข้องกับการฉีดอนุภาคนาโนที่มีพื้นฐานจาก DNA ลงในรอยแยกตามธรรมชาติ วิธีการนี้ช่วยให้อัญมณีดิบสามารถถูกระบุถึงแหล่งที่มาได้ตลอดช่วงอายุของมัน นับเป็นการทดลองและการพัฒนาวิธีการในการสืบถึงแหล่งที่มา โดยเฉพาะอัญมณีดิบดั้งเดิม และช่วยรักษาไว้ซึ่งความเชื่อมโยงกับต้นกำเนิดดั้งเดิมของอัญมณีเหล่านี้ไว้ได้ที่นับเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับมาตรฐานแห่งความยั่งยืนของ Chopard ให้รุดหน้าไปอีกขั้น

Latest Posts

Don't Miss